สช. เปิดพื้นที่กลางให้ ‘คนรุ่นใหม่’ร่วมขับเคลื่อนวาระสุขภาวะไทย ผลักดันสู่สมัชชาสุขภาพฯ ครั้งที่ 18




‘คนรุ่นใหม่’ร่วมขับเคลื่อนวาระสุขภาวะไทย ผลักดันสู่สมัชชาสุขภาพฯ ครั้งที่ 18
บรรยากาศสุดคึกคัก “สมัชชาสุขภาพเยาวชนฯ” สช. จับมือ ภาคีเครือข่ายคนรุ่นใหม่-Gen Z กว่า 200 ชีวิต ร่วมออกแบบอนาคตผ่านการแสดงความคิดเห็นต่อ 5 ประเด็นนโยบายสาธารณะ ที่จะผลักดันสู่การเป็น “วาระสุขภาวะประเทศไทย” ปี 2568 ภายในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ช่วงปลายเดือน พ.ย. นี้ “นิสิตแพทย์จุฬาฯ” เห็นด้วย ขยายอายุเกษียณการทำงาน ช่วยสร้างสุขภาพผู้สูงวัย แต่ควรเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดเวที การจัดสมัชชาสุขภาพเยาวชนคนรุ่นใหม่ เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2568 ณ ห้องประชุมสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) เขตหลักสี่ กทม. เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ จากนักเรียน นักศึกษา และคนรุ่นใหม่ ที่มีต่อ 5 ประเด็น ที่จะเข้าสู่การพิจารณาในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ระหว่างวันที่ 27 – 28 พ.ย. 2568 ณ ศูนย์การประชุม อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยมีผู้เข้าร่วมผ่านทาง online และ on site กว่า 200 คน
ทั้งนี้ ภายในงานสมัชชาสุขภาพเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่จัดขึ้น ได้เปิดพื้นที่กลางให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้ร่วมกันอภิปรายอย่างกว้างขวาง ครอบคลุมทั้ง 5 ประเด็น โดยมีความคิดเห็นที่น่าสนใจ อาทิ 1. การสร้างโอกาสในเศรษฐกิจสูงวัย มีข้อเสนอให้มีกระบวนการเสริมพลังให้ผู้สูงอายุมีความมั่นใจที่จะเสริมสร้างสุขภาพของตนเอง เพื่อทำให้ผู้สูงอายุยังคงมีสมรรถนะในการทำงานต่อไปได้ ต่อมาคือการสร้างทัศนคติให้สังคมเกิดความเชื่อมั่นศักยภาพในการทำงานของผู้สูงอายุ และควรจะมีการพิจารณาขอบเขตช่วงอายุของการเกษียณใหม่ โดยให้เสนอเป็นทางเลือกไม่ใช่การบังคับ นอกจากนี้ควรมีนโยบายการเพิ่มตำแหน่งงานซึ่งต้องเริ่มต้นจากหน่วยงานภาครัฐ ก่อนที่จะขยายมายังภาคส่วนของการท่องเที่ยวที่จะให้ผู้สูงอายุเน้นการทำงานด้านบริการ โดยเฉพาะมิติด้านการนำเสนอวัฒนธรรมของท้องถิ่น
- ระบบสุขภาพเชิงรุกท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ มีข้อเสนอให้ตั้ง “กองทุนสุขภาพชายแดน” โดยมีการพิจารณาการจัดสรรงบประมาณตามภาระโรคและความต้องการจริงในพื้นที่ แทนการพิจารณาเพียงแค่จำนวนเตียงหรือขนาดของโรงพยาบาลอย่างเดียว และเสนอให้โรงพยาบาลขนาดใหญ่ควรสนับสนุนโรงพยาบาลชุมชนต่างๆ เช่น การส่งทีมแพทย์หมุนเวียน หรือมีระบบการแพทย์ทางไกล(Telemedicine) อีกทั้ง ระบบสุขภาพจะควรจะต้องลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองและชนบทโดยมีกลไกกลางที่คอยติดตามความเป็นธรรมด้านสุขภาพเพื่อตตรวจสอบและเผยแพร่ข้อมูลความเหลื่อมล้ำด้านงบประมาณระหว่างเมืองและชนบทอย่างโปร่งใส ซึ่งทีมเยาวชนเสนอให้มีระบบ “Healthcare Zystem Fondue” ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับระบบ Traffy Fondue
- การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรมด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ มีข้อเสนอให้ภาครัฐกำหนดข้อปฏิบัติให้เกิดมาตรฐานในการผลิตและการติดตั้งการใช้โซล่าเซลล์ รวมทั้งต้องมีการลดภาษีนำเข้าเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนผ่าน อีกทั้ง เพื่อเป็นการลดส่วนต่างค่าไฟให้ประชาชน ภาครัฐควรมีนโยบายรับซื้อค่าไฟส่วนเกินจากภาคครัวเรือน หรือปรับลดค่าไฟให้มีความเท่าเทียมกันระหว่างผู้ที่ใช้ไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์กับผู้ที่ใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รวมถึงภาครัฐควรส่งเสริมอาชีพนักจัดการขยะอันตรายโดยให้มีการการสอบใบประกอบวิชาชีพ ขณะที่หน่วยงานซึ่งใกล้ชิดประชาชนที่สุดอย่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ควรทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดตั้งโรงไฟฟ้าขนาดย่อมโดยขอใช้พื้นที่ของชุมชนซึ่งจะเป็นการกระจายรายได้เสริมให้แก่ประชาชนอีกทางหนึ่ง
- ระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต มีข้อเสนอให้มีการบริหารช่วงก่อนเกิดภาวะวิกฤตผ่านการพัฒนาระบบสื่อสารในภาวะวิกฤตที่รวดเร็ว การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เพื่อวิเคราะห์คาดการณ์และวางแผนล่วงหน้า รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์มกลางระหว่างทุกหน่วยงานให้สามารถขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันได้ ขณะที่ในภาวะวิกฤติต้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันจากหลายหน่วยงานภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการณ์การภาวะฉุกเฉิน (EOC) และมีระบบสื่อสารสาธารณะแบบรวมศูนย์ที่ชัดเจน รวดเร็ว ประชาชนเชื่อถือได้ รวมไปถึงการจัดการหลังภาวะวิกฤตผ่านการฟื้นฟูสภาพจิตใจ ฟื้นฟูรายได้ และฟื้นฟูชุมชนโดยการมีส่วนร่วมจากประชาชน
- กลไกขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับพื้นที่ มีข้อเสนอเชิงนโยบายให้มีการจัดตั้ง “คณะกรรมการและการพัฒนาระดับพื้นที่” เพื่อทำหน้าที่สร้างกระบวนการ ติดตาม ตรวจสอบ และถอดบทเรียนการขับเคลื่อนงานอย่างมีประสิทธิภาพและความโปร่งใสในทุกๆ ปี และควรจะมีการปรับปรุงคู่มือการพัฒนาอย่างเป็นระบบทั้งในด้านภาษาที่ควรลดความเป็นวิชาการให้ภาคประชาชนในพื้นที่สามารถเข้าถึงได้
นอกจากนี้ ในตอนท้ายของการจัดงานสมัชชาสุขภาพเยาวชน คนรุ่นใหม่ ตัวแทนเยาวชนคนรุ่นใหม่ จำนวน 10 เครือข่าย อาทิ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นทีมผู้สนับสนุนการจัดเวที ได้แก่ เครือข่ายหลักสูตรการพัฒนาขีดความสามารถด้านสุขภาพโลก Global Health Youth Fellowship Program (GHYFP) สโมสรนิสิตคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคมนิสิตนักศึกษาแพทย์นานาชาติ (ประเทศไทย) International Federation of Medical Students Association – Thailand (IFMSA Thailand) สาขาอนามัยชุมชน และสาขาวิทยาศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อม คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ยังได้กล่าวถ้อยแถลงเพื่อร่วมขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดเป็นรูปธรรมด้วย
นสพ.ปภาพินท์ ไพโรจน์ธนชัย นิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 5 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะประธานเครือข่ายหลักสูตรการพัฒนาขีดความสามารถด้านสุขภาพโลก Global Health Youth Fellowship Program (GHYFP) กล่าวว่า ตนเองและสมาชิก GHYFP เห็นพ้องร่วมกันว่าอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและผลักดันประเด็น “การสร้างโอกาสในเศรษฐกิจสูงวัย” โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเป็นนิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 5 ได้เริ่มทำงานบน Ward และได้พบผู้สูงอายุที่เป็นผู้ป่วยจำนวนมาก จึงทำให้ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของผู้สูงอายุให้มีงาน หรือกิจกรรมทำในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยลดการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ และทำให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพที่ดีขึ้น
“ส่วนตัวเห็นว่าควรมีการเพิ่มหรือขยายอายุการเกษียณในการทำงาน แต่อาจจะปรับเพิ่มช่วงอายุแบบค่อยเป็นค่อยไปให้สูงขึ้นได้ เพราะมองว่าการปรับแบบกะทันหันจาก 60 ปี ไปเป็น 65 ปีทันที อาจจะยังยากและคงส่งผลกระทบพอสมควร อาจจะเพิ่มไปทีละ 2 ปี จาก 60 ปี เป็น 62 ปีก่อน และให้เป็นไปโดยสมัครใจหรือเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้สูงอายุที่จะทำงานต่อ หรือเลือกที่จะเกษียณตอน 60 ปีตามปกติก็ได้ แต่ในระหว่างนี้คิดว่าสิ่งที่สำคัญ คือการหากิจกรรมให้ผู้สูงอายุได้ทำ และเสริมพลังให้ผู้สูงอายุกลับมาเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองที่จะสามารถดูแลตนเอง ดูแลสังคมได้” นสพ.ปภาพินท์ กล่าว
นายกฤตชพัฒน์ ดีประเสริฐวงศ์ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 แผนกวิทย์-คณิต โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กล่าวว่า ได้รับการชักชวนจากรุ่นพี่ซึ่งปัจจุบันเป็นนิสิตแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และทำงานอยู่ในกลุ่ม GHYFP ให้เข้ามาร่วมเวทีรับฟังความเห็น ซึ่งส่วนตัวมีเป้าหมายที่อยากจะเรียนต่อและประกอบอาชีพแพทย์ จึงอยากจะมาหาประสบการณ์ใหม่ๆ และรับฟังความรู้จากรุ่นพี่ หรือบุคคลากรที่ทำงานด้านสาธารณสุข เช่น การได้มาฟังประเด็นเรื่องการสร้างโอกาสในเศรษฐกิจสูงวัย จึงทำให้ได้ตระหนักว่าประเทศไทยกำลังประสบปัญหาด้านนี้ในเชิงรายละเอียดอย่างไรบ้าง
ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ ประธานคณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คจ.สช.) ครั้งที่ 17 -18 กล่าวว่า โลกในทุกวันนี้มีความปั่นป่วนและซับซ้อนเป็นอย่างมาก และความปั่นป่วนเหล่านั้นก็ส่งผลกระทบมาถึงไทยที่ต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ภูมิรัฐศาสตร์ ความมั่นคงทางชายแดน และมิติทางด้านสุขภาพที่นำมาซึ่งโรคอุบัติใหม่ ส่วนตัวจึงได้แลกเปลี่ยนกับคณะทำงาน สช. ว่าการมีส่วนร่วมจากสังคมทุกภาคส่วนโดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่มีความสำคัญในการออกแบบนโยบายสาธารณะ เพราะอนาคตของประเทศอยู่ในมือของคนรุ่นใหม่ที่จะร่วมเสนอทางออก ระดมความคิดในการเผชิญกับโลกที่ท้าทายนี้ได้
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (เลขาธิการ คสช.) กล่าวว่า คนรุ่นใหม่นั้นมีศักยภาพ และมีความสามารถในการเรียนรู้จากการค้นหาข้อมูลจึงทำให้มีความสนใจต่อสถานการณ์ทางสังคม ส่วนตัวจึงเชื่อว่าหากนำคนรุ่นใหม่มาร่วมกันเปิดใจในการเสนอและออกแบบอนาคตของประเทศ ก็จะสามารถทำให้ประเทศก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ไปได้ด้วยดี
“บางคนชอบพูดว่าประเทศเป็นของคนรุ่นเรา แล้วค่อยส่งมอบให้กับคนรุ่นหลัง แต่ส่วนตัวขอเห็นต่างว่าประเทศนั้นเป็นของคนรุ่นใหม่ คนรุ่นเก่าในวันนี้จึงมีหน้าที่ทะนุบำรุงรักษา ดูแลทรัพย์สมบัติ ทรัพยากรทั้งหลายให้เดินต่อไปข้างหน้าได้ เวทีรับฟังความคิดเห็นทั้ง 5 ประเด็นวันนี้ ก็มีความสำคัญ แต่ส่วนตัวอยากให้เยาวชนรู้จักเครื่องมือ ตาม พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ 2550 ที่มีอยู่หลายเครื่องมือ ซึ่งเยาวชนสามารถจะเลือกนำมาใช้ตามความเหมาะสม ตามแต่บริบท ซึ่งสมัชชาฯ ก็เป็นหนึ่งในเครื่องเหล่านั้น” เลขาธิการ คสช. กล่าว.







