ธันวาคม 11, 2025

Breaking News

ก้าวข้ามวังวน ‘ถอดบทเรียน’ ภัยพิบัติ สช.จับมือภาคีเดินหน้าปฏิบัติจริง ใช้หลักสูตรพัฒนาชุมชนรับวิกฤต

ก้าวข้ามวังวน ‘ถอดบทเรียน’ ภัยพิบัติ สช.จับมือภาคีเดินหน้าปฏิบัติจริง ใช้หลักสูตรพัฒนาชุมชนรับวิกฤต

สช.พร้อมภาคีเครือข่าย จับมือเดินหน้าก้าวข้ามวังวน “ถอดบทเรียน” หลังเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ นำทัพลงใต้หารือแนวทางการนำข้อเสนอเชิงนโยบายไปสู่การปฏิบัติจริง ชิงช่วงจังหวะภายหลัง ครม. เห็นชอบข้อเสนอจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนและท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง เผยอยู่ระหว่างร่างหลักสูตรเพื่อเตรียมนำร่องใน 50 ชุมชนท้องถิ่น มุ่งพัฒนาศักยภาพรับมือภัยพิบัติอนาคต

สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) พร้อมด้วยหน่วยงานภาคีเครือข่าย อาทิ 9 หน่วยงานภาคีอาสา มหาวิทยาลัยทักษิณ ไทยพีบีเอส ฯลฯ ตลอดจนเครือข่ายสมัชชาสุขภาพจังหวัด คณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.) พื้นที่ภาคใต้ ร่วมกันจัดเวทีสมัชชาประชาชนภาคใต้ “มหาวิกฤตอุทกภัยภาคใต้ ถึงเวลาก้าวให้พ้นจากวังวนเดิมๆ” เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2568 ณ มหาวิทยาลัยทักษิณ ต.เขารูปช้าง อ.เมือง จ.สงขลา เพื่อแลกเปลี่ยนบทเรียนและประสบการณ์ในภาวะวิกฤตอุทกภัยพื้นที่ภาคใต้ รวมถึงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อการพัฒนากลไก ข้อเสนอเชิงนโยบาย มาตรการ ยุทธศาสตร์ และแผนการขับเคลื่อนระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤตในพื้นที่ภาคใต้

นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาภายหลังเกิดสถานการณ์ภัยพิบัติขึ้นมาแล้ว มักจะเกิดการถอดบทเรียนออกมาอยู่หลายต่อหลายครั้ง โดยในส่วนของ สช. เองก็ได้มีการร่วมกับภาคีเครือข่ายในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถอดบทเรียนหลายครั้ง นับตั้งแต่ภายหลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยปี 2554 ซึ่งเกิดเป็นมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 4 เรื่อง การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติโดยชุมชนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง มาจนล่าสุดในปี 2567 ที่เกิดน้ำท่วมดินโคลนถล่มในพื้นที่ภาคเหนือ รวมไปถึงเวทีถอดบทเรียน 20 ปีเหตุการณ์สึนามิภาคใต้ จนเกิดเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายตามมามากมาย
นพ.สุเทพ กล่าวว่า แม้การถอดบทเรียนจากอดีตจะเป็นสิ่งที่ดี ที่ช่วยให้เราเก่งขึ้นและพัฒนาขึ้นได้ แต่โจทย์คำถามสำคัญคือทำอย่างไรเราจึงจะหลุดพ้นไปจากวังวนเดิมๆ เพราะปัจจุบันเองก็มีบทเรียนจำนวนมากที่ถูกถอดออกมาซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่กลับยังไม่สำเร็จในการที่จะขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติจริง ดังนั้นจากวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ครั้งนี้ ซึ่งเชื่อว่าสังคมได้เกิดความตื่นตัวที่สูงมาก และไม่เฉพาะใน อ.หาดใหญ่ แต่เป็นทั่วประเทศ เราจะพลิกให้เป็นโอกาสของการนำบทเรียนในครั้งนี้ รวมถึงข้อเสนอต่างๆ ที่เคยมี ไปสู่การเดินหน้าปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม พร้อมแก้ Pain Point ของการจัดการภัยพิบัติได้อย่างไร
เลขาธิการ คสช. กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีโอกาสสำคัญเมื่อล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 2 ธ.ค. 2568 ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอเชิงนโยบายการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนและท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง เป็นวาระแห่งชาติ ตามที่ คสช. เสนอ รวมถึงเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 เมื่อวันที่ 27-28 พ.ย. 2568 ภาคีเครือข่ายก็ได้ร่วมกันให้ฉันทมติรับรองประเด็น ระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต เป็นนโยบายสาธารณะ ทั้งหมดเชื่อว่าเป็นทิศทางที่ดีที่กำลังจะให้ประเด็นเหล่านี้สุกงอม พร้อมที่จะช่วยกันขับเคลื่อนและพัฒนาได้อย่างเป็นรูปธรรม

ดร.เพ็ญ สุขมาก ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) กล่าวว่า จากการถอดบทเรียนสถานการณ์ภัยพิบัติต่างๆ ไม่ว่าจะถอดกันออกมากี่ครั้ง พบว่าอุปสรรคข้อท้าทายต่างๆ ล้วนไม่ได้แตกต่างกันนัก และยังคงเป็นปัญหาแบบเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความกระจัดกระจายของหน่วยงานที่ทำงานแยกส่วน ขาดการบูรณาการ หรือตัวระเบียบกฎหมายต่างๆ ที่ยังมีช่องว่างจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข ไปจนถึงเรื่องของฐานข้อมูล ระบบการสื่อสาร การฝึกซ้อม การพัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่าย ฯลฯ
ดร.เพ็ญ กล่าวว่า ภายหลังจากที่ ครม. มีมติเห็นชอบข้อเสนอเชิงนโยบาย หรือสมุดปกแดงที่ภาคีเครือข่ายได้ร่วมกันถอดออกมานั้น ก็มีความหวังว่าจะได้รับการนำไปขับเคลื่อนปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ซึ่งนอกจากข้อเสนอเชิงนโยบายในระดับชาติ เช่น การแก้ระเบียบกฎหมายที่มีปัญหา การบูรณาการฐานข้อมูลกลาง พัฒนาระบบสนับสนุนที่สำคัญ ฯลฯ แล้วยังมีข้อเสนอเชิงนโยบายในระดับท้องถิ่น เช่น จัดตั้งคณะกรรมการจัดการภัยพิบัติระดับตำบล การเกิดกองทุนจัดการภัยพิบัติระดับตำบล การจัดทำหลักสูตรเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ พัฒนาฐานข้อมูล แผนที่ความเสี่ยงชุมชน ฯลฯ
“ในข้อเสนอเชิงนโยบายนี้มุ่งเน้นให้ชุมชนท้องถิ่นเป็นฐานในการจัดการภัยพิบัติด้วยตนเอง ตั้งแต่ระยะก่อนเกิดภัย ระหว่างเกิดภัย และหลังเกิดภัย ซึ่งการที่จะทำให้เกิดแบบนี้ได้จำเป็นต้องมีการพัฒนาศักยภาพคณะทำงานหรือกลไกการทำงานที่มีอยู่ในชุมชน รวมไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเข้าไปหนุนเสริมให้ชุมชนสามารถวางแผนได้ เช่น ทำให้เกิดแผนจัดการภัยพิบัติโดยชุมชน สามารถวิเคราะห์ข้อมูล รู้จักแผนที่ของชุมชน ทำ Community Profile เป็น รู้ว่าในพื้นที่มีกลุ่มเปราะบางกลุ่มเสี่ยงเป็นใครอยู่ที่ไหน” ดร.เพ็ญ กล่าว
ดร.เพ็ญ กล่าวอีกว่า ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องมีการพัฒนาตัวหลักสูตร ที่ไม่ใช่แค่การฝึกอบรม แต่เป็นการปฏิบัติไปด้วยพร้อมกัน โดยขณะนี้ทางภาคีเครือข่ายทั้ง ม.อ. สช. มูลนิธิชุมชนไท กำลังอยู่ระหว่างจัดทำร่างหลักสูตร โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนเบื้องต้นจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่จะเข้าไปพัฒนาศักยภาพชุมชนท้องถิ่น โดยเมื่อออกแบบหลักสูตรแล้วเสร็จจะมีการนำไปทดลองใน 50 ชุมชนพื้นที่ภาคใต้ เป็นหนึ่งในรูปธรรมจากข้อเสนอเชิงนโยบายที่ภาคีต่างๆ กำลังเดินหน้าร่วมกัน

ขณะที่ นายไมตรี จงไกรจักร์ ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท และ คสช.เขตพื้นที่ 11 กล่าวว่า เวทีถอดบทเรียนที่เกิดขึ้นแม้จะพูดกันอยู่ซ้ำๆ ทุกปี แต่จะมีหน้าที่ในการช่วยกระตุ้นเตือนสังคม ทักท้วงรัฐบาล ซึ่งความรู้และข้อเสนอที่เกิดขึ้นอาจไม่มีทางนำไปสู่การปฏิบัติได้ หากเราไม่ลงมือไปทำด้วยกัน จึงเป็นโจทย์สำคัญที่นอกจากเสนอให้รัฐบาลทำแล้ว เวทีวันนี้เราจะมาช่วยกันออกแบบว่าข้อเสนอที่มีอยู่เราจะมาขับเคลื่อนไปร่วมกันได้อย่างไร ขณะเดียวกันการเข้าไปเตรียมความพร้อมชุมชนให้รับมือภัยพิบัติ หากจะรอให้ฟื้นฟูเสร็จก่อนแล้วค่อยทำอาจจะยาก เพราะชาวบ้านก็เตรียมกลับไปทำมาหากินแล้ว ฉะนั้นเราจึงชักชวนภาคีทั้งหมดมาร่วมกันทำควบคู่กันไปทั้งสามระยะ ด้วยวิธีนี้จะช่วยพลิกวิกฤตไปสู่โอกาสใหม่ได้

ด้าน รศ.ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยทักษิณ กล่าวว่า กรณีน้ำท่วมที่เกิดขึ้นใน อ.หาดใหญ่ ไม่ใช่ความบกพร่องของตัวบุคคล หากเป็นความล้มเหลวของระบบ ซึ่งเราทุกคนล้วนเป็นเหยื่อของการเผชิญภัยทั้งในวันนี้และอนาคต อันเนื่องจากความล้มเหลวไร้ประสิทธิของภาครัฐในการบริหารจัดการภาวะวิกฤต แต่ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน สิ่งที่น่าสนใจคือครั้งนี้จะเป็นอีกครั้งหลังเหตุการณ์สึนามิ ที่ผู้คนในสังคมเกิดอารมณ์ร่วม และสัมผัสได้ถึง Social Empathy ที่พร้อมจะเข้ามาช่วยกันทำให้ผู้ประสบภัยลุกขึ้นใหม่ได้เร็ว และพูดกันต่อถึงสิ่งที่เราจะก้าวไปข้างหน้าได้ในอนาคต
รศ.ดร.ณฐพงศ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังนับเป็นครั้งแรกๆ ที่มหาวิทยาลัยในสงขลาต่างลุกขึ้นมาก่อการและเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติอย่างพร้อมเพรียง ตามบทบาทเท่าที่จะทำได้ในช่วงน้ำท่วม แต่บทบาทของมหาวิทยาลัยยังต้องมองต่อถึงระยะถัดไป ซึ่ง ม.ทักษิณ ได้ทำโครงการ TSU บวร Wash ที่ร่วมกับภาคีและพันธมิตรต่างๆ เข้าไปช่วยเหลือโดยเน้นพื้นที่กลุ่มเปราะบาง บนความคาดหวังว่าอาจได้แนวทาง รูปแบบ หรือโมเดลที่จะนำไปสู่การจัดการภัยพิบัติในระดับพื้นที่ที่มีลักษณะเฉพาะของตัวเองได้
///////////////

About The Author

Related posts

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *