ธันวาคม 11, 2025

Breaking News

เสนอให้ ‘ตุลาคม’ ของทุกปี เป็นเดือนเคลียร์ขยะเมืองสงขลา จัดเทศกาล SALE สินค้าหนีน้ำท่วม

เสนอให้ ‘ตุลาคม’ ของทุกปี เป็นเดือนเคลียร์ขยะเมืองสงขลา จัดเทศกาล SALE สินค้าหนีน้ำท่วม

สช.ระดมภาคีเปิดเวที “สมัชชาประชาชนภาคใต้” ก้าวข้ามวังวนถอดบทเรียนสู่การปฏิบัติ พร้อมหารือกำหนดยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนสามระยะ เสนอแนวคิดปักธง “เดือนตุลาคม” ชวนผู้ประกอบการหาดใหญ่นำสินค้าค้างสต๊อกออกจำหน่ายลดราคา-เท่าทุน สร้างเทศกาล SALE ย้ำเตือนให้ทุกคนทำความสะอาด-เก็บของใช้ไม่จำเป็น เตรียมพร้อมเพื่อลดขยะ-ความเสียหาย หากเกิดวิกฤตน้ำท่วมในอนาคต

ภายในเวทีสมัชชาประชาชนภาคใต้ “มหาวิกฤตอุทกภัยภาคใต้ ถึงเวลาก้าวให้พ้นจากวังวนเดิมๆ” ที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) พร้อมด้วยหน่วยงานภาคีเครือข่าย ร่วมกันจัดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2568 ณ มหาวิทยาลัยทักษิณ ต.เขารูปช้าง อ.เมือง จ.สงขลา ได้มีการแลกเปลี่ยนบทเรียนและประสบการณ์ในภาวะวิกฤตอุทกภัยพื้นที่ภาคใต้ พร้อมแบ่งกลุ่มย่อยระดมความเห็น เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์และออกแบบการขับเคลื่อนเชิงรูปธรรม ทั้งในระยะเตรียมการก่อนเกิดเหตุ ระหว่างเผชิญเหตุ และการฟื้นฟูหลังเหตุการณ์ รวมไปถึงสิทธิของผู้ประสบภัยที่จะได้รับการเยียวยา

นายชาคริต โภชะเรือง ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนสงขลา และเลขานุการคณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.) เขตพื้นที่ 12 เปิดเผยว่า ภายหลังสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เริ่มคลี่คลาย สิ่งที่ตามมาคือปริมาณขยะสะสมจำนวนมากในพื้นที่ ซึ่งคาดว่ามีปริมาณไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนตัน จากครัวเรือนทั้งอำเภอที่ได้รับผลกระทบประมาณ 2 แสนครัวเรือน โดยที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐได้ใช้วิธีการแบ่งโซนพื้นที่ออกเป็น 4 เขต พร้อมกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงและปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ เช่นในช่วงที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทางหน่วยงานทหารเป็นผู้รับผิดชอบ ภายหลังยกเลิกแล้วจึงกลับมาเป็นหน้าที่ของท้องถิ่นและจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบหลัก ขณะเดียวกันก็มีภาคีเครือข่ายอื่นๆ รวมถึงจิตอาสาเข้ามาช่วยกัน

นายชาคริต กล่าวว่า ในส่วนของวิธีการจัดการขยะ จะมีการทยอยขนย้ายออกมาจากถนนสายหลัก และสายรอง เพื่อนำไปยังจุดพักขยะที่กระจายไป 4-5 จุด โดยหลังจากนั้นส่วนใหญ่จะถูกนำไปเผาที่โรงไฟฟ้าชีวมวลพลังงานขยะใน ต.เกาะแต้ว ซึ่งเดิมทีจะเปิดทำการในเดือน ม.ค. 2569 แต่ถูกเร่งให้เปิดดำเนินการเพื่อเริ่มเผาขยะได้ทันกับการจัดการในครั้งนี้ อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าสามารถเผาขยะได้ 500 ตันต่อวัน ดังนั้นปริมาณขยะทั้งหมดที่เกิดขึ้นจึงต้องใช้ระยะเวลาอีกพอสมควรในการรอจัดการ
“ส่วนการนำขยะออกจากเมือง เท่าที่เห็นภาพในขณะนี้น่าจะสามารถเอาออกไปได้สักประมาณ 60% เพราะยังมีขยะตกค้างอยู่ตามซอกซอยอีกปริมาณมากที่รอการขนย้าย แต่เจอปัญหาว่าตอนนี้เราขาดรถขนขนาดเล็กที่จะเข้าไปตามซอย เพราะของหน่วยงานเป็นรถขนขนาดใหญ่ทั้งหมด ซึ่งถ้าหากเราจัดการขยะไม่ทันสถานการณ์ พวกกลิ่น แมลง หรือเชื้อโรค ก็จะเริ่มตามมา เราจึงต้องเร่งกระตุ้นหน่วยงานให้รับทราบว่าขณะนี้มีเครื่องจักรไม่เพียงพอ” นายชาคริต ฉายภาพ
ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนสงขลา กล่าวว่า อย่างไรก็ตามไม่ได้มีเพียงหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น แต่ที่ผ่านมายังมีภาคีภาคประชาสังคม ภาคเอกชน องค์กร มูลนิธิ เครือข่ายจิตอาสาต่างๆ ตลอดจนสถาบันการศึกษา รวมกว่า 30 องค์กร ที่ได้มีกระบวนการร่วมกันในการจัดตั้ง War Room ภาคประชาชนหาดใหญ่ โดยได้รับความอนุเคราะห์สถานที่จากสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในการจัดตั้งเป็นศูนย์กลางเพื่อประสานการทำงาน จัดสรรทรัพยากร พร้อมกระชับความช่วยเหลือเข้าหากัน ร่วมกับหน่วยงานผู้รับผิดชอบ ซึ่งปัจจุบันมีการดำเนินงานมาต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ 6 โดยมีการประชุมร่วมกันทุกเช้า และเรื่องขยะก็เป็นประเด็นหลักที่ให้ความสำคัญควบคู่ไปกับความช่วยเหลือด้านอื่นๆ
“จากความพยายามในการจัดระบบภาคีเครือข่าย ที่ระดมความช่วยเหลือเข้าไปในพื้นที่ช่วงน้ำท่วม พอหลังน้ำลดเราได้มีการหารือร่วมกันที่มัสยิดควนสันติ ซึ่งเป็นพื้นที่หนึ่งที่ได้รับผลกระทบ เพื่อร่วมกันขยับเป็นต้นแบบการจัดการให้เห็นว่าชุมชนรอไม่ได้ เพราะถ้าเรามัวแต่รอ ความช่วยเหลือจะเทไปที่เขตเศรษฐกิจหมด แล้วหลังจากนั้นภาคีต่างๆ จึงได้ข้อสรุปร่วมกันว่าจะยกระดับเป็น War Room ภาคประชาชน เพื่อประสานความช่วยเหลือและความต้องการเข้าหากัน ซึ่งปัจจุบันก็มีโครงสร้าง มีทีมกลาง ทีมปฏิบัติการเชิงพื้นที่ ดำเนินการเรื่องขยะ การล้างบ้าน การจ้างงาน การให้ความช่วยเหลือด้านสิ่งของ อุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งโฟกัสความช่วยเหลือไปยังกลุ่มคนจนเมือง ผู้มีรายได้น้อย หาเครือข่ายเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงในการสนับสนุนพื้นที่ ช่วยกันแก้ปัญหาให้ครบวงจร” นายชาคริต กล่าว

นายชาคริต ยังกล่าวอีกว่า เดิมที จ.สงขลา เองก็เป็นจังหวัดที่มีปัญหาขยะตกค้างมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศอยู่แล้ว ด้วยเพราะลักษณะที่เป็นเมืองใหญ่ ซึ่งของเก่ายังจัดการได้ไม่หมด แต่ขณะนี้กำลังมีของใหม่เพิ่มเข้ามากลายเป็นโจทย์ขนาดมหึมา ที่อาจใหญ่เกินกว่าระดับจังหวัด และทุกภาคส่วนควรจะเข้ามาร่วมกันคิดใช้โอกาสนี้ในการจัดการขยะ นำไปใช้ประโยชน์ รวมถึงเตรียมพื้นที่ เตรียมหน่วยงาน เตรียมระบบรับรอง เพื่อรองรับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ ภายในเวทียังได้มีการนำเสนอผลการประชุมและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การพัฒนากลไกการขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงนโยบาย มาตรการ ยุทธศาสตร์ และแผนการขับเคลื่อนระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในภาวะวิกฤตช้อนวิกฤตในพื้นที่ภาคใต้ โดย นายบัญชร วิเชียรศรี ผู้แทนกลุ่มระดมความคิดเห็นในระยะฟื้นฟูหลังเหตุการณ์ กล่าวว่า หนึ่งในแนวทางสำคัญที่ผู้เข้าร่วมเวทีได้แลกเปลี่ยนหารือ คือประเด็นของการจัดการขยะซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องฟื้นฟู และหากลไกในการจัดการขยะให้ออกจากพื้นที่เมืองได้อย่างดีที่สุด ไปจนถึงปลายทางของขยะที่จะต้องถูกจัดการอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม ซึ่งการจัดการขยะหลังน้ำลดเป็นกลไกการเยียวยาหนึ่งที่จะช่วยฟื้นฟูเมืองได้อย่างรวดเร็ว และถือเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ควรต้องได้รับการจัดการด้วยเช่นกัน

นายบัญชร กล่าวว่า หนึ่งในประเด็นที่ภาคีเครือข่ายได้ร่วมกันหารือ คือการเตรียมความพร้อมในการจัดการขยะเพื่อรับมือกับสถานการณ์วิกฤตในอนาคต ตัวอย่างเช่นเมื่อถึงเดือนตุลาคม อาจจัดให้เป็นเดือนแห่งการ ‘ช็อปปิงสินค้าหนีน้ำท่วม’ ของ อ.หาดใหญ่ โดยทุกร้านค้านำสินค้าที่ขายไม่ออกเป็นเวลา 1-2 ปี มาขายในราคาถูก หรือขายเท่าทุน ให้ทุกคนรู้ว่าถ้าเข้าเมืองหาดใหญ่มาในช่วงนั้นจะได้ซื้อของในราคาพิเศษ และถือเป็นช่วงเวลาที่ย้ำเตือนให้ทุกคนทำความสะอาดเมืองร่วมกัน เก็บของใช้ที่ไม่จำเป็นออก เพราะแม้แต่ขยะก็ยังขายหากไม่เปียกน้ำ แต่หากเปียกน้ำเมื่อไรแล้วขายไม่ได้ทันที
“เราอาจทำให้ตลอดทั้งเดือนนั้น เป็นเดือนแห่งการเคลียร์เมือง โดยให้เทศบาลเป็นตัวหลัก และผู้ประกอบการทั้งหมดเห็นพ้องร่วมกัน ต่างคนต่างเคลียร์ ซึ่งต่อให้เกิดน้ำท่วม จำนวนขยะก็จะไม่เยอะอย่างที่เห็น และการจัดการเมืองภายหลังน้ำท่วมก็จะง่ายขึ้น” นายบัญชร กล่าว
/////////////////

About The Author

Related posts

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *