ธันวาคม 12, 2025

Breaking News

สมัชชาสุขภาพฯ พัฒนามาตรการ รับวิกฤตในอาคารสูง จัดการภัยไฟไหม้-แผ่นดินไหว-น้ำท่วม

สมัชชาสุขภาพฯ พัฒนามาตรการ รับวิกฤตในอาคารสูง จัดการภัยไฟไหม้-แผ่นดินไหว-น้ำท่วม

เวทีสมัชชาสุขภาพฯ เปิดวงสะท้อนนโยบายการรองรับวิกฤตในอาคารสูง จากกรณีเหตุแผ่นดินไหว-ตึกถล่มในกรุงเทพฯ สู่การพัฒนาข้อเสนอเพื่อรองรับภัยในอนาคต ชูแนวทาง “3S” พัฒนามาตรฐานด้านโครงสร้าง-ระบบสาธารณสุข-ศักยภาพคน พร้อมตอกย้ำบทบาท “เจ้าของร่วม” ต้องมีส่วนเรียนรู้-รองรับเหตุภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

กิจกรรมตลาดนัดนโยบาย ที่จัดขึ้นภายในการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 โดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายยุทธศาสตร์ ระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย. 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ช่วงหนึ่งได้มีการจัดเวทีเปลี่ยนมุมมอง (Policy Talk of Change) หัวข้อ “ระบบรองรับวิกฤตในอาคารสูง” ซึ่งเป็นการพูดคุยถึงกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะ ภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวกรุงเทพมหานคร (กทม.) จนเป็นเหตุให้มีอาคารสูงถล่มเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568

ดร.นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท หัวหน้ากลุ่มงานวิจัยและสนับสนุนงานวิจัยสุขภาพ สำนักวิชาการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวทั่ว กทม. รวมถึงการถล่มของอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จนมีผู้เสียชีวิตหลายราย ไม่ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนกับอาคารเท่านั้น แต่ยังสะเทือนไปถึงจิตใจของผู้คน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่อาศัยในอาคารสูงต่างๆ ซึ่งอาคารสูงก็ไม่ได้มีเพียงตึกคอนโดมิเนียมหรูหรา แต่ยังมีอาคารที่เป็นที่พักอาศัยของคนมีรายได้น้อย กลุ่มเปราะบาง ฯลฯ ที่เผชิญกับความเสี่ยง หรือตัวอย่างจากกรณีล่าสุดในเหตุการณ์ไฟไหม้อาคารที่พักอาศัยในฮ่องกง
ดร.นพ.วิรุฬ กล่าวว่า แม้ภัยพิบัติจะเป็นสิ่งที่เราห้ามไม่ได้ แต่จะรับมืออย่างไรให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค.เป็นต้นมา ทาง สช. และภาคีเครือข่ายต่างๆ ได้ร่วมพูดคุยกันถึงการทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นนโยบายสาธารณะ กระทั่งในเดือน พ.ค. ได้มีการจัดเวทีสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นกรุงเทพฯ ว่าด้วยการรองรับวิกฤตของชุมชนอาคารสูง ซึ่งทำให้เกิดข้อเสนอที่ไม่ได้มองเฉพาะมิติของภัยพิบัติ แต่ยังมองในมิติของผู้สูงวัย ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่มีจำนวนมากและควรต้องให้การดูแลเป็นกลุ่มแรก
“คนที่ทำงานชุมชน จะรับรู้ว่าศักยภาพที่สำคัญที่สุดในการรับมือกับวิกฤต คือทุนที่มีอยู่ในชุมชน กรณีตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนได้ชัดเจนคือช่วงโควิด เราจะเห็นได้เลยว่าถ้าชุมชนเข้าใจ เขาสามารถคิดวิธีการจัดการได้ และประสบการณ์จากโควิดก็เป็นสิ่งที่ทำให้ชุมชนหลายแห่งมีความพร้อมที่จะร่วมรับมือกับภัยสุขภาพต่างๆ ไม่ว่าวิกฤตแบบไหน มาวันนี้เราจึงกำลังพัฒนาเครือข่ายความเป็นชุมชนของอาคารสูง บนกรอบแนวคิดที่พยายามขับเคลื่อนให้เกิดมาตรฐานทั้งผู้อยู่อาศัย ผู้จัดการ นิติบุคคลอาคารสูง ฯลฯ ช่วยกันพัฒนาให้อาคารสูงเกิดความปลอดภัยในทุกสถานการณ์” ดร.นพ.วิรุฬ กล่าว

นางตรีอมร วิสุทธิศิริ นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการพิเศษ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สำหรับกรอบแนวคิดการทำงานในชุมชนอาคารสูงที่ สปคม. และภาคีเครือข่ายได้ร่วมกันทำงานออกมา ผ่านโครงการหมู่บ้านจัดสรร ชุมชนอาคารสูง สุขภาพเขตเมือง หรือ Urban Village Care Plus (uVilleCare Plus) โดยดำเนินการทั่วประเทศ ซึ่งเฟสแรกได้มีการทำไปแล้วในหมู่บ้านจัดสรร 100 แห่งทั่วประเทศ ส่วนเฟสที่สองขณะนี้กำลังดำเนินการกับชุมชนอาคารสูง
นางตรีอมร กล่าวว่า การป้องกันควบคุมโรคในอาคารสูงให้มีประสิทธิภาพ ได้ถอดออกมาเป็น “มาตรฐาน Healthy Condo” โดยมีกรอบแนวคิดของ 3S ซึ่งประกอบด้วย 1. Structural Safety House การมีโครงสร้างที่ปลอดภัย ก่อสร้างตามมาตรฐาน มีการจัดวางอาคารที่ดี ทางเดิน ทางหนีไฟ ป้ายสัญญาณต่างๆ ที่มีความชัดเจน รวมไปถึงถนนหนทางโดยรอบที่รถฉุกเฉินสามารถเข้าถึงได้ เป็นต้น ซึ่งการจัดโครงสร้างที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่ชุมชนอาคารสูงควรมี และจะช่วยชีวิตคนได้

  1. System of Health การมีระบบสาธารณสุขรองรับภาวะฉุกเฉิน เช่น มีจุดรับแจ้งเหตุ มีแบบประเมิน หรือการทำทะเบียนให้รู้ว่าในอาคารมีใครบ้าง กลุ่มเปราะบางเป็นอย่างไร ซึ่งการมีข้อมูลเบื้องต้นจะช่วยให้เราเตรียมความพร้อมได้ดี และเมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤตขึ้นมาแล้ว เจ้าหน้าที่กู้ภัยหรือผู้ที่เข้ามาให้การช่วยเหลือก็จะสามารถสอบถามข้อมูล เพื่อเตรียมการหรืออุปกรณ์ในการช่วยเหลือได้ทันท่วงที
  2. Staff of Good Management การพัฒนาศักยภาพของบุคคล ทั้งตัวของนิติบุคคลที่จะต้องมีการเตรียมความพร้อมอย่างไรในการดูแลลูกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านสาธารณสุข ด้านระบบฉุกเฉิน ต้องมีความรู้ความสามารถ เตรียมความพร้อมว่าเมื่อเกิดเหตุแล้วจะเคลื่อนย้ายอย่างไร ต้องพูดคุยสื่อสารกับลูกบ้านอย่างไร
    “ฉะนั้นการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน เราจึงต้องเตรียมไว้ทั้ง 3 ระบบ ซึ่งถ้าเรามีการเตรียมความพร้อมที่ดี มันก็จะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้มาก แต่ความยั่งยืนสำคัญก็จะต้องอยู่ที่เจ้าของร่วมด้วย ที่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องและคิดว่านี่คือบ้านที่เขาอยู่อาศัยใช้ชีวิต ฉะนั้นทุกคนก็จะต้องมีจิตอาสา ในการเข้ามาร่วมแรงร่วมใจ เพราะเจ้าหน้าที่นิติฯ ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่ผู้อยู่อาศัยต้องเป็นส่วนประกอบสำคัญให้เกิดความยั่งยืน” ผช.ผอ.สปคม. กล่าว

ด้าน นายจรัญ เกษร กรรมการบริหารสมาคมด้านความยั่งยืน สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า ใน กทม. มีอาคารสูงอยู่ประมาณ 1.5 หมื่นอาคาร ที่มีความสูงตั้งแต่ 8 ชั้น หรือ 23 เมตรขึ้นไป ซึ่งโดยปกติการสร้างอาคารจะต้องมีหลักปฏิบัติอยู่ภายใต้ข้อกำหนดที่มีการปรับปรุงเรื่อยมา ตั้งแต่ปี 2550, 2552, 2554 และล่าสุดคือปี 2564 แต่ในจำนวนนี้มี 1 หมื่นอาคารที่ก่อสร้างอยู่ก่อนข้อกำหนดปี 2550 จึงอาจไม่ได้มีสถานะที่ถูกกำกับด้านความปลอดภัยเป็นยุคปัจจุบัน ส่วนอาคารที่สร้างขึ้นหลังจากนั้นจะถูกกำกับ ควบคุม ดูแลความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบทางเข้าออก การป้องกัน การหนีภัยต่างๆ
นายจรัญ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่อาคารถล่มนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดที่มีอยู่ เพราะไม่เช่นนั้นอาคารอีก 200-300 แห่งที่กำลังก่อสร้างอยู่ก็ต้องถล่มลงมาด้วย ฉะนั้นจึงอยากให้มั่นใจได้ว่าตึกสูงที่เราอยู่กันกว่า 1.5 หมื่นอาคาร มีความปลอดภัยพอที่จะใช้ชีวิตตามปกติได้ โดยหากเป็นเหตุการณ์ไฟไหม้ หรือแผ่นดินไหวนั้น มีกฎหมายหรือข้อกำหนดที่ควบคุมเอาไว้ครบอยู่แล้ว แต่หากเป็นกรณีน้ำท่วม จะเป็นเรื่องของการเรียนรู้และป้องกันขึ้นมาเอง เช่น ยกพื้นที่ขึ้นมาให้สูงขึ้น มีเขตป้องกันล้อมรอบพื้นที่โครงการ วางระบบไว้ในชั้นที่สูงขึ้น เมื่อน้ำท่วมแล้วอาคารยังสามารถใช้งานได้อยู่ตราบใดที่ไฟฟ้าไม่ถูกตัด เป็นต้น
“ในทางกฎหมายเรามีระบบตรวจสอบ มีผู้ตรวจสอบอาคารที่เข้าไปทุกปี แต่สิ่งสำคัญสุดท้ายคือเรื่องของผู้คนที่ไม่ใช่เพียงแค่เจ้าหน้าที่ เพราะอาคารสูงจะมีผู้อยู่อาศัยหนาแน่นกว่าพื้นที่แนวราบเกิน 10 เท่า ดังนั้นจากอัตราส่วน จึงเป็นไปไม่ได้หากเราจะพึ่งเพียงเจ้าหน้าที่ แล้วคิดว่าจะสามารถทำตามเป้าหมายที่ต้องการให้ทุกคนรอดปลอดภัยได้ ดังนั้นอีกสิ่งสำคัญจึงเป็นการขยายความรู้ไปหาเจ้าของร่วม เพื่อให้เขารู้ถึงบทบาทหน้าที่เวลาเกิดเหตุควรทำอย่างไร” นายจรัญ กล่าว

นอกจากนี้ ภายในเวทีเดียวกันยังได้มีการพูดคุยในหัวข้อ “K9 ภารกิจชีวิต: ค้นหา ช่วยเหลือ เพื่อนมนุษย์” โดย ดร.อลงกต ชูแก้ว รองผู้อำนวยการองค์การสุนัขกู้ภัยแห่งชาติ หรือ K9 USAR Thailand กล่าวว่า ทีมของ K9 USAR Thailand เป็นส่วนหนึ่งของ International Search and Rescue Advisory Group (INSARAG) หรือหน่วยให้การช่วยเหลือทางด้านพิบัติภัยขนาดใหญ่โดยองค์การสหประชาชาติ (UN) ภายใต้จำนวนกำลังพลเพียง 46 คน แต่ทางทีมก็ได้เป็นตัวแทนที่ติดธงประเทศไทยและ UN เพื่อออกไปปฏิบัติการช่วยเหลือในภาวะวิกฤตหรือภัยพิบัติขนาดใหญ่ในดินแดนต่างประเทศ
ดร.อลงกต กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของ K9 USAR Thailand มีขึ้นภายหลังเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิ ในปี 2547 เมื่อทีมช่วยเหลือจากต่างประเทศมีการถามหาถึงทีม K9 เพื่อใช้ค้นหาผู้ประสบภัยใน จ.ภูเก็ต แต่ประเทศไทยกลับไม่มี ภายหลังจากนั้นจึงค่อยๆ เริ่มต้นก่อตั้งและรวมตัวกันขึ้น ซึ่งตลอด 20 ปีที่ผ่านมาของการทำงาน K9 USAR Thailand ไม่เคยได้รับงบประมาณจากรัฐบาลไทย ในการปฏิบัติการ ฝึกฝน ดูแลหรือใดๆ แต่สามารถอยู่ได้ด้วยการสนับสนุนของคนไทย ที่ซื้อเสื้ออุดหนุนมาตลอดระยะเวลา 20 ปี ซึ่งรายได้เหล่านี้จะถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นค่าอาหาร ค่ายา ค่าเดินทาง ค่ารักษา ฯลฯ ของทีมสุนัขกู้ภัย แต่เชื่อมั่นว่ากระบวนการสนับสนุนจากคนไทยนี้เองจะช่วยให้ทีมอยู่ต่อไปได้บนภารกิจเพื่อมนุษยธรรม ไม่ว่าจะเดินทางไปปฏิบัติงานที่ประเทศใด ขอให้ทุกคนมั่นใจว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในนามทีมของประเทศไทย

/////////////////////
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม:
กลุ่มงานสื่อสารสังคม สช.
โทร. 02-8329141

About The Author

Related posts

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *