จุดยืนประเทศไทยในเวทีโลก ผลักดันระบบ PABS ในข้อตกลง WHO แบ่งปัน ‘วัคซีน-ยา’ หากเกิดโรคระบาดใหญ่




เผยความคืบหน้าเจรจาข้อตกลงว่าด้วยการระบาดใหญ่ขององค์การอนามัยโลก กลางเวทีประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 จุดยืนประเทศไทยต้องการผลักดันระบบ PABS การเข้าถึงเชื้อและแบ่งปันผลประโยชน์ หากเกิดโรคระบาดใหญ่อีกให้สามารถวิจัยและแบ่งปันประโยชน์จาก วัคซีน-ยา-ชุดตรวจ กระจายทั่วโลกอย่างเท่าเทียม ด้านเครือข่ายระบบสุขภาพร่วมแชร์ประสบการณ์จัดการโควิด-19 เห็นพ้องว่าความร่วมมือคือจุดสำคัญรับมือการระบาด
เวทีอภิปรายหมู่เพื่อสร้างนโยบายอย่างมีส่วนร่วม ในประเด็น “ความตกลงว่าด้วยการระบาดใหญ่ขององค์การอนามัยโลก : ทุกคนในสังคมล้วนมีบทบาท” (WHO Pandamic Agreement : A need for the whole-of-government and whole-of-society approaches) ภายในการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 27 – 28 พ.ย. 2568 ภายใต้ประเด็นหลัก “เศรษฐกิจยุคใหม่ สร้างสุขภาวะไทยยั่งยืน” (New Wealth for Health) ได้รายงานสถานการณ์ความคืบหน้าการเจรจาข้อตกลงว่าด้วยการระบาดใหญ่ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่จะเป็นอีกมาตรการสำคัญของทุกประเทศทั่วโลกในการรับมือกับสถานการณ์การระบาดครั้งใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก พร้อมกับมีการอภิปรายหมู่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับบริหารจัดการการระบาดของโรคในประเทศไทย มาร่วมกันถอดบทเรียนการระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาด้วย
นางสุขพักตร์ บาร์เนท นักการทูตชำนาญการ (ที่ปรึกษา) คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงความคืบหน้าและบทบาทของประเทศไทยต่อการเจรจาข้อตกลงว่าด้วยการระบาดใหญ่ของ WHO ที่ดำเนินการมากว่า 3 ปี นับตั้งแต่หลังมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกว่า ประเทศไทยมีหัวหน้าคณะผู้เจรจา คือ นพ.วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสาธารณสุขของไทย ซึ่งยังได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เป็นรองประธานการประชุมจากกลุ่มประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAR) เพื่อเจรจาข้อบทสำคัญภายใต้กลไก Intergovernmental Negotiating Body (INB) โดยปัจจุบันร่างเจรจาข้อตกลงหลักรวมกว่า 30 ข้อได้เสร็จสิ้นแล้ว แต่ยังเหลือการพิจารณาในข้อ 12 ในส่วนภาคผนวก ที่จะเป็นหัวใจหลักของข้อตกลงว่าด้วยการระบาดใหญ่ นั่นคือการสร้างระบบเข้าถึงเชื้อและแบ่งปันผลประโยชน์ (ระบบ PABS) ที่จะเป็นการป้องกันและแก้ไขข้อผิดพลาดจากการบริหารการระบาดโควิด – 19 ของทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะมีการประชุมกันอีกครั้งในเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีความเข้มแข็งในการเจรจา และมีจุดยืนที่ชัดเจนต่อ ระบบ PABS ที่เห็นว่าจะเป็นระบบที่ให้ทุกประเทศที่เข้าร่วมเป็นภาคีในข้อตกลงได้แบ่งปันและเข้าถึงเชื้อ เพื่อให้ประเทศต่างๆ เหล่านี้ได้นำไปวิจัยต่อเพื่อให้เกิดเป็นวัคซีน ยารักษาโรค อุปกรณ์วินิจฉัยโรค (VTDs) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด เนื่องจากช่วงการระบาดของโควิด-19 มีการแบ่งปันเชื้อเพื่อผลิตวัคซีน โดยประเทศไทยต้องการผลักดันให้มีการเจรจาสำเร็จลุล่วงภายในเดือน เม.ย. 2569 พร้อมกับให้มีการรับรอง เพื่อเปิดให้ประเทศสมาชิกร่วมลงนามเข้าร่วมในข้อตกลลงนี้ให้ได้
“ตามข้อตกลงในระบบ PABS นั้น หากมีการแบ่งปันและเปิดให้เข้าถึงเชื้อของประเทศที่เกิดการระบาด เมื่อนำไปวิจัยจนเกิดเป็นยารักษา วัคซีน อุปกรณ์วินิจฉัยโรค ก็จะช่วยทำให้สิ่งเหล่านี้ไปถึงประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยต้องมีการแบ่งปันมายัง WHO เพื่อนำไปกระจายต่อยังประเทศกำลังพัฒนาได้เข้าถึง รวมถึงต้องกันบางส่วนเอาไว้เพื่อให้เข้าถึงได้ในราคาถูก และจะเป็นการสร้างความเท่าเทียมและเป็นธรรมกับทุกประเทศทั่วโลกในการเผชิญกับการระบาดครั้งใหญ่ ที่จะต้องเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน” นางสุขพักตร์ กล่าว
ถัดจากนั้นมีการอภิปรายหมู่ในประเด็น “ความตกลงว่าด้วยการระบาดใหญ่ขององค์การอนามัยโลก : ทุกคนในสังคมล้วนมีบทบาท” (WHO Pandamic Agreement : A need for the whole-of-government and whole-of-society approaches) โดยมีวิทยากรจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับบริหารจัดการการระบาด ในช่วงโควิด – 19 มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง และร่วมกันเสนอแนวทางจัดการในอนาคตหากเกิดเหตุการณ์ระบาดครั้งใหญ่อีก
น.ส.อังคณา บริสุทธิ์ ผู้อำนวยการกองกฎหมาย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) หนึ่งในผู้เข้าร่วมเสวนา กล่าวว่า บทบาทของ สธ. ในช่วงโควิด – 19 ที่มีการระบาดในช่วงที่ผ่านมานั้น ได้ใช้กลไกทางกฎหมายเข้ามาเป็นมาตรการสำคัญในการควบคุมโรค รวมถึงมีข้อกำหนดต่างๆ ตามมา และมีโครงสร้างการบริหารจัดการจากศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) รวมถึงมีการจัดหาวัคซีน การผลิตชุดตรวจคัดกรอง และต่อสู้กับสถานการณ์เกือบ 3 ปีจนคลี่คลาย ซึ่งจุดสำคัญที่ทำให้สามารถบริหารจัดการได้เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน รวมถึงภาคประชาชนที่ให้ความร่วมมือในการดูแลตนเองและปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ในอนาคตจะต้องเกิดการระบาดอีกครั้งแน่นอน ฉะนั้นการรับมือจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการวางแผนจากบทเรียนของสถานการณ์โควิด–19 ร่วมกัน โดยเฉพาะการจัดระบบที่มีการประสานเชื่อมโยงการทำงานระหว่างกันอย่างชัดเจน ทั้งการเชื่อมโยงการทำงานในประเทศ ในด้านการพัฒนาระบบ และกฎระเบียบเพื่อรองรับ ทั้งด้านการดูแล การควบคุมโรค เพื่อให้เป็นระบบที่พร้อมเผชิญเหตุ และจัดการการระบาดได้อย่างทันที รวมถึงควรต้องมีระบบการประสานกับต่างประเทศเพื่อร่วมแบ่งปันข้อมูล และร่วมกันรับมือ
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวในเวทีอภิปรายว่า สปสช. ประกาศสถานการณ์โควิด-19 ตามหลังกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในทันที และให้มีสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพ พร้อมงบประมาณจากรัฐบาลเข้ามารองรับ รวมถึงปรับกฎระเบียบ หลักเกณฑ์ให้สามารถมีเวชภัณฑ์ เครื่องมือที่จำเป็นเข้ามาควบคุมการระบาดและดูแลประชาชน อีกทั้งยังร่วมผลักดัน จัดระบบรองรับนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น มาตรการกักตัวที่บ้าน ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ขณะที่งบประมาณก็มีการจัดเตรียมเอาไว้รองรับจากรัฐบาล
นอกจากนี้ ยังได้ประสานกับเครือข่ายต่างๆ นอกระบบสุขภาพ ในการเข้ามามีส่วนร่วมดูแลประชาชนช่วงสถานการณ์ระบาด ทั้งจากภาครัฐ เอกชน ภาคส่วนท้องถิ่น ซึ่งความร่วมมือของทุกภาคส่วนคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ช่วยให้ผ่านพ้นสถานการณ์การระบาดมาได้ เพราะลำพังภาคส่วนในระบบสุขภาพรับมือฝ่ายเดียวคงไม่ไหวอย่างแน่นอน
“ปัจจัยสำคัญในช่วงการระบาดของโควิด –19 คือ เรายังมีฐานระบบสุขภาพที่ดี โดยเฉพาะระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นระบบที่มีความพร้อมรองรับสถานการณ์ เมื่อเจอสถานการณ์ก็ช่วยได้ทันที ผ่านการเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม และจัดสรรงบประมาณเพื่อให้จัดการ ก็ทำให้ตอนระบาดสามารถควบคุมได้ และระบบการดูแลที่ครอบคลุม ทั้งการตรวจวินิจฉัย การรักษา การฉีดวัคซีน เดินหน้าไปได้” นพ.จเด็จ กล่าว
เลขาธิการ สปสช. กล่าวอีกว่า สำหรับการเตรียมการรับมือในอนาคตนั้น เห็นว่าศักยภาพของภาคีเครือข่ายนอกระบบสุขภาพ โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รวมถึงวัด ศาสนสถาน จะมีบทบาทในการร่วมจัดการพื้นที่และชุมชนอย่างเป็นระบบ โดยระดับนโยบายอาจร่วมวางแนวทางเพื่อให้เกิดการบริหารจัดการได้อย่างเข้มแข็งในพื้นที่ และกระจายศักยภาพเพื่อให้ท้องถิ่นสามารถจัดการได้ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลไก หรืออาวุธลับที่สำคัญที่จะช่วยจัดการการระบาดที่เชื่อว่าก็จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตอย่างแน่นอน
นายสัตวแพทย์อธิวัฒน์ ปริมสิริคุณาวุฒิ ผู้อำนวยการกองความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า บทเรียนสำคัญในช่วงสถานการณ์โควิด -19 ของไทยคือความรวดเร็วในการจัดการ และการแสวงหาความร่วมมือจากภาคส่วนอื่นนอกเหนือไปจากภาคส่วนสุขภาพ อย่างเช่นที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ คิดค้นชุดตรวจเชื้อโควิด-19 แต่ไม่สามารถผลิตให้เพียงพอกับความต้องการในการตรวจเชื้อของคนทั้งประเทศ ทว่าได้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมมือเพื่อให้เกิดการผลิตจำนวนมาก และมีคุณภาพดี เพียงพอกับความต้องการ และช่วยให้ประเทศไม่ต้องนำเข้าชุดตรวจจากต่างประเทศ สามารถใช้งบประมาณไปจัดการหรือเตรียมการด้านอื่นในช่วงระบาดได้
อีกจุดที่สำคัญคือ การขยายเครือข่ายห้องปฏิบัติการที่ตรวจสอบการติดเชื้อที่มีความแม่นยำ ทำให้ทราบสถานการณ์ที่แน่ชัดเพื่อให้ระดับนโยบายสามารถวางแผนการจัดการได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงยังเข้าร่วมในการแบ่งปันข้อมูลกับ WHO เพื่อแลกเปลี่ยนกับอีกหลายประเทศ ซึ่งการจัดการอย่างเป็นระบบในช่วงระบาดทำให้หลายประเทศสะท้อนการยอมรับ และทำให้ประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่น่วาระบบสุขภาพของประเทศมีความเข้มแข็งติดอันดับโลกในช่วงการระบาดของโควิด–19
“สิ่งที่ต้องจัดการกันต่อไป คือการบริหารจัดการเครือข่ายห้องปฏิบัติการ ที่ต้องทำให้เกิดการเข้าถึงการตรวจจับโรคระบาดได้อย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อมีการระบาด การมีระบบเครือข่ายพร้อมกับโครงสร้งการทำงานที่ชัดเจนของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะทำให้เกิดการตรวจจับโรคที่รวดเร็ว และช่วยป้องกันการระบาดขยายไปวงกว้าง” ผู้อำนวยการกองความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าว
ด้าน พระอาจารย์มหาไพบูลย์ อภิปุณโณ วัดป่าดอนหายโศก จ.อุดรธานี กล่าวว่า ในสถานการณ์โควิด -19 วัดได้มีส่วนร่วมเข้าไปช่วยดูแลประชาชน ทั้งด้านร่างกาย และจิตโจ โดยเฉพาะความเครียดที่เกิดขึ้นกับสถานการณ์ระบาด จึงต้องการให้เกิดการปฏิบัติธรรมขึ้นตามปกติ แต่ก็มีข้อขัดแย้งกันภายในเพราะยังมีทั้งพระสงฆ์ และฆราวาส ที่อาจเห็นไม่ตรงกันว่าควรจะเปิดรับประชาชนหรือไม่ แต่ทางวัดก็ได้ใช้ข้อมูลการระบาดในการรตัดสินใจให้มีกิจกรรมปฏิบัติธรรมขึ้น โดยใช้รูปแบบการคัดกรองประชาชนจากพื้นที่ต่างๆ เหมือนกันกับนโยบายของรัฐ ทั้งการคัดกรอง และการป้องกันโรค
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตหากมีการระบาดเกิดขึ้น และทางภาครัฐเห็นว่าวัดสามารถมีส่วนร่วมในการช่วยดูแลประชาชนในพื้นที่ได้ ก็อยากให้มีนโยบาย หรือมาตรการที่ชัดเจนเพื่อให้ทางวัดได้มีส่วนร่วม หรือให้ร่วมออกแบบนโยบายที่ทางวัดจะได้เข้าไปร่วมเพื่อให้เป็นแนวทางที่ชัดเจน
/////////////////////
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม:
กลุ่มงานสื่อสารสังคม สช. โทร. 02-8329141.




