ธันวาคม 03, 2025

Breaking News

สมัชชาสุขภาพฯ เปิด 4 โมเดล สกัด ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ในเด็ก-เยาวชน ผ่านกลไก ‘กขป.’ 4 เขตพื้นที่

สมัชชาสุขภาพฯ เปิด 4 โมเดล สกัด ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ในเด็ก-เยาวชน ผ่านกลไก ‘กขป.’ 4 เขตพื้นที่

เวทีเสวนาใน “งานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18” ชี้ เด็กไทยสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ขณะที่ช่วงอายุอื่นลดลง ซ้ำเติมปัญหาเด็กเกิดน้อย แต่ด้อยคุณภาพเพราะถูกนิโคตินทำลายสมอง กระตุกสังคมเห็นความสำคัญของความร่วมมือเพื่อแก้ไข พร้อมโชว์ 4 โครงการรูปธรรมจัดการ “บุหรี่ไฟฟ้าในเด็ก – เยาวชน” แบบบูรณาการ ผ่านกลไก “กขป.” 4 เขตพื้นที่ สู่ความร่วมมือภาคประชาสังคม – ท้องถิ่นขับเคลื่อนแก้ไขในระยะยาว

เวทีเสวนาย่อยหัวข้อ “ภาคประชาสังคมจะมีส่วนร่วมและหนุนเสริมในการปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่ได้อย่างไร” ในกิจกรรมตลาดนัดนโยบายภายในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายยุทธศาสตร์ เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ได้มีการนำเสนอและแลกเปลี่ยนแนวทางการแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนในระดับพื้นแบบบูรณาการ ผ่านกลไกคณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.) 4 เขตพื้นที่

ศ. พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ ประธานกรรมการพัฒนานโยบายสาธารณะประเด็นการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า และรองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวถึงความสำคัญของการบูรณาการแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนว่า จากการดำเนินการควบคุมอัตราการสูบบุหรี่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ได้ทำให้ปัจจุบันอัตราดังกล่าวลดลงมาอย่างมากแล้ว โดยจากปี 2534 ที่มีคนไทยกว่า 34% สูบบุหรี่ ในปี 2567 ลดลงเหลือ 16.5%
อย่างไรก็ตาม หากดูข้อมูลในภาพรวมจะเห็นได้ว่าอัตราการสูบบุหรี่ที่ลดลงนั้น เริ่มชะลอตัวลงนับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา จากการเข้ามาของบุหรี่ไฟฟ้า แม้จะมีกฎหมายห้ามนำเข้าก็ตาม โดยในปี 2564 มีคนไทยสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพียง 0.14% แต่ปี 2567 เพิ่มเป็น 1.5% หรือเพิ่มขึ้น 10 เท่าในเวลา 3 ปี อีกทั้งจากการสำรวจล่าสุดยังพบว่า มีคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเดียว 1.7 ล้านคน ส่วนคนที่สูบทั้งบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่มวน 7.7 แสนคน ซึ่งรวมแล้วสูงถึง 2.4 ล้านคน ที่สำคัญในจำนวนนี้เป็นเด็กอายุ 10 – 14 ปี 3.5% หรือ 8.4 หมื่นคน และเป็นเยาวชนอายุ 15 – 29 ปี 69.4% หรือประมาณ 1.6 ล้านคน
“ขณะที่ช่วงอายุอื่นอัตราการสูบบุหรี่ลดลง แต่ในเด็กและเยาวชนกำลังสูงขึ้น ซึ่งผลกระทบในเด็กนั้นมีความแตกต่างจากผู้ใหญ่ เพราะสมองกำลังพัฒนางานวิจัยพบแล้วว่านิโคตินจะทำให้สมองของเด็กที่อายุต่ำกว่า 25 ปี ประสิทธิภาพลดลงถึง 3 – 4 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้รับบุหรี่ไฟฟ้า ฉะนั้นในสถานการณ์ที่ประเทศเด็กเกิดน้อยอยู่แล้ว ถ้ามาถูกซ้ำเติมด้วยสมองถูกทำลายอีกจะยิ่งแย่ ซึ่งแม้ขณะนี้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) จะผลักดันมาตรการป้องกันบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนจนทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแล้ว แต่สิ่งนี้จะให้รัฐทำอย่างเดียวอาจไม่ได้ ทุกคนต้องมาร่วมกันแก้ไขปัญหานี้ด้วย” ศ. พญ.สุวรรณา ระบุ

นางจริยาพันธ์ รุจิรัชกุล นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐม (สสจ.นครปฐม) กล่าวถึงความร่วมมือกับ กขป. เขตพื้นที่ 5 ในโครงการการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนกับจังหวัด ทาง สสจ.นครปฐม โดยผู้ว่าราชการจังหวัดกำหนดให้ใช้เกณฑ์ LPA (Local performance Agreement) ของ อปท.และโรงเรียน โดยใน จ.นครปฐม มีการนำร่องดำเนินการใน 4 โรงเรียน แบ่งเป็น 2 แห่งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และ 2 แห่งของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ทั้งนี้ ในการดำเนินการ สสจ.นครปฐม ได้มีส่วนร่วมทั้งการวางแผนไปจนถึงการสนับสนุนการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านการร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับหลากหลายหน่วยงานในการใช้ 7 มาตรการสถานศึกษาปลอดบุหรี่ ซึ่งจะมีตั้งแต่กำหนดนโยบาย การสำรวจข้อมูลการสูบบุหรี่ในโรงเรียน จัดสภาพแวดล้อม สอดแทรกเนื้อหาในการจัดการการเรียนรู้ สร้างการมีส่วนร่วมของโรงเรียน การดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่สูบบุหรี่ และบุหรี่ไฟฟ้า โดยส่งเข้าบำบัดกับโรงพยาบาลชุมชน ไปจนถึงการสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชน
“จากการดำเนินการต่างๆ ตามมาตรการ และปรับให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เช่น กรณีนักเรียนที่สูบบุหรี่เลิกได้ยาก เพราะมีการรวมกลุ่มกันอยู่เสมอๆ ก็ได้ปรับมาตรการให้นักเรียนที่ยังเลิกไม่ได้ ให้เรียนหนังสืออยู่ที่บ้านผ่านระบบออนไลน์ และมาโรงเรียนได้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ซึ่งทำให้การรวมกลุ่มลดลง และนักเรียนเกิดความรู้สึกอยากมาเจอเพื่อน จนทำให้เลิกได้ในที่สุด ซึ่งเลิกได้จริงๆ เพราะมีการตรวจวัดระดับนิโคตินยืนยัน โดยสิ่งเหล่านี้ทำให้จากที่มีนักเรียนที่สูบบุหรี่มากถึง 140 คน ลดลงเหลือเพียง 30 คน” นางจริยาพันธ์ กล่าว

ด้าน ดร.วิสุทธิ์ สุกรินทร์ เลขานุการ กขป. เขตพื้นที่ 4 กล่าวว่า สำหรับการจัดการปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนนั้น ทาง กขป. เขตพื้นที่ 4 ได้มีการจัดโครงการโดยผลักดันให้เกิดการใช้เครื่องมืออย่างธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษามาใช้ในการแก้ไขปัญหา เช่น การจัดสมัชชาสุขภาพจังหวัดเพื่อผลักดันประเด็นนี้ การอบรมเกี่ยวกับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน การดึงเครือข่ายมาร่วม MOU กัน การใช้กลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) หรือการเชื่อมโยงกับสภานักเรียนในการขับเคลื่อน ฯลฯ ภายใต้ยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อน 3 ข้อ คือ 1. การเสริมสร้างความรอบรู้ให้กับเยาวชนในสถานศึกษา 2. เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับครอบครัวและชุมชน และ 3. บูรณาการภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง จนขณะนี้สถานศึกษาที่ร่วมนำร่อง 4 แห่งใน 2 จังหวัด คือ จ.สระบุรี และ จ.ลพบุรี มีธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษาว่าด้วยการป้องกันภัยคุกคามจากบุหรี่ไฟฟ้าของตนเองแล้ว ทว่า อาจจะยังไม่เห็นผลชัดเจนเป็นรูปธรรม เนื่องจากเพิ่งเริ่มดำเนินการเป็นปีแรก โดยน่าจะได้เห็นผลชัดเจนขึ้นหลังจากนี้
“ธรรมนูญสถานศึกษาดังกล่าวมีอยู่ 9 หมวดด้วยกัน แต่ประเด็นสำคัญคือหมวดที่ 8 องค์ประกอบและบทบาทหน้าที่ ซึ่งมีกำหนดชัดว่าผู้อำนวยการ ครูฝ่ายปกครอง ครูประจำชั้น ภารโรง หรือผู้แทนใครควรทำอะไรเพื่อร่วมขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาในครั้งนี้” ดร.วิสุทธิ์ กล่าวเสริม

ในส่วน นางฐาณิษา สุขเกษม เลขานุการ กขป. เขตพื้นที่ 6 กล่าวว่า โครงการพัฒนาประสิทธิภาพระบบและกลไกการดำเนินเพื่อแก้ไขปัญหาภัยคุกคามทางสุขภาพ (บุหรี่ไฟฟ้า) ในเขต 6 มีการนำร่องใน 2 โรงเรียนจากพื้นที่ที่มีบริบทแตกต่างกันอย่าง จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งมีความเป็นชนบทผสมเมือง กับ เมืองพัทยา ที่มีความเป็นเมืองท่องเที่ยว โดยความแตกต่างนี้มีส่วนกำหนดปัจจัยที่ส่งผลต่อการเข้าถึงและสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชนในพื้นที่ด้วย เช่น การแอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าผ่านร้านขนม หรือร้านของที่ระลึก
สำหรับเครื่องมือที่ทาง กขป. เขตพื้นที่ 6 ใช้ในการบูรณาการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนั้น ส่วนที่มีความสำคัญอย่างมากคือการรับฟังความคิดเห็นในพื้นที่ทั้งเชิงปริมาณ และคุณภาพ ซึ่งตรงนี้ทำให้เห็นขนาดของปัญหาได้อย่างดี เนื่องจากมีการพบว่าจากจังหวัดในภาคตะวันออกทั้งหมดมีเด็กและเยาวชนถึง 10.7% ที่ยอมรับว่าสูบบุหรี่ไฟฟ้า โดยสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ตัวเลขค่อนข้างสูง ได้แก่ การเข้าถึงได้ง่าย ราคาถูก ต้องการการยอมรับจากเพื่อน ความเข้าใจของผู้ปกครองว่าบุหรี่ไฟฟ้าโทษไม่ร้ายแรงเท่ากับบุหรี่มวน และการบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร
นางฐาณิษา กล่าวอีกว่า จากข้อมูลดังกล่าว และการดำเนินการต่างๆ ร่วมกับภาคีเครือข่าย ได้นำมาสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อแก้ไขในระยะยาว เช่น การจัดอบรมการปฏิเสธให้นักเรียน การเสริมสร้างนโยบายป้องปรามที่เข้มงวดในโรงเรียน การประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ในการบังคับใช้กฎหมาย ตรวจสอบร้านค้าใกล้สถานศึกษาอยู่เสมอเพื่อเฝ้าระวัง ขณะเดียวกันก็มีการให้ชุมชนเป็นหูเป็นตาร่วมด้วย ซึ่งจากการที่ทั้ง 2 พื้นที่ได้ร่วมดำเนินการ ก็ทำให้จำนวนเด็กและเยาวชนที่สูบบุหรี่เริ่มมีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง
“ในปี 2569 ทาง กขป. จะมีการทำงานร่วมกับสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทยในการนำเด็กและเยาวชนเข้าสู่ระบบเลิกบุหรี่ ซึ่งจะมีการอบรมพัฒนาศักยภาพ ตั้งจุดคัดกรองในโรงเรียน พร้อมส่งต่อคลินิกเลิกบุหรี่ รวมถึงเครือข่ายที่เพิ่มเข้ามาอย่างร้านยาอาสาเลิกบุหรี่ด้วย โดยตั้งเป้าไว้ที่ 2,000 คนทั่วภาคตะวันออก แต่อาจจะพบมากกว่านี้ เพราะในภาคตะวันออกมีเด็กและเยาวชนที่อยู่ในสถานศึกษาภายใต้ สพฐ. กว่า 3 แสนคน” นางฐาณิษา ระบุ
ขณะที่ น.ส.เพชรรุ่ง เชาวกรวัชร์ อดีตเลขานุการ กขป. เขตพื้นที่ 1 และคณะทำงานบุหรี่ไฟฟ้าและปัจจัยเสี่ยง กขป. เขต พื้นที่ 1 กล่าวถึงโครงการขับเคลื่อนเครือข่ายเด็กและเยาวชนภาคเหนือตอนบนเพื่อแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าว่า จากข้อมูลล่าสุดของกองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ระบุว่า 8 จังหวัดในภาคเหนือตอนบนมีจำนวนคนใช้บุหรี่ไฟฟ้ามากที่สุดในประเทศ สอดคล้องกับการเก็บข้อมูลของ กขป. เขตพื้นที่ 1 ใน 2 จังหวัดนำร่องโครงการที่พบว่า จ.แพร่ มีเด็กนักเรียนใช้บุหรี่ไฟฟ้าถึง 28.88% และ จ.ลำปาง มีนักเรียนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าอยู่ที่ 21.96% ซึ่งมีสาเหตุจากความรู้อยากลอง และการแรงดันทางสังคมกลุ่มเพื่อน รวมถึงเข้าถึงง่าย
น.ส.เพชรรุ่ง กล่าวต่อไปว่า จากข้อมูลเหล่านั้นทาง กขป. เขตพื้นที่ 1 ได้ใช้ในการออกแบบกิจกรรมขับเคลื่อน (Data Driven) เช่น การอบรมพัฒนาศักยภาพแกนนำครู ก และครู ข การรณรงค์ การทำมาตรการ ฯลฯ รวมถึงสร้างภาคีเครือข่ายมาร่วมดำเนินการกว่า 17 หน่วยงาน โดยมีสภาเด็กและเยาวชนมาร่วมขับเคลื่อน ผลักดัน และจะขยายผลต่อไปให้ด้วย พร้อมตั้งเป้าหมายว่าตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไปสภาพแวดล้อมของพื้นที่ภาคเหนือตอนบนจะต้องเอื้อต่อการแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า
“เด็กที่มาร่วมขับเคลื่อนมีความตื่นตัว และมีส่วนร่วมด้วยอย่างมาก โดยหลังจากถอดบทเรียนและนำผลงานของเขามาโชว์ ก็มีการสะท้อนสิ่งที่ต้องการสนับสนุนเพิ่มเติม ตั้งแต่การให้เร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดับพื้นที่ในการบูรณาการแก้ไขปัญหา การสนับสนุนให้ผู้บริหารระดับจังหวัดออกคำสั่งช่วยให้เด็กและเยาวชนขยายโมเดลสำเร็จรูปอย่างรวดเร็ว การขอสนับสนุนงบประมาณในการผลิตสื่อ และขอให้มีการจัดอบรมทักษะการสื่อสารตอบโต้ข้อมูลเท็จบนโลกออนไลน์” น.ส.เพชรรุ่ง กล่าว

About The Author

Related posts

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *