ธันวาคม 04, 2025

Breaking News

ชวนเข้าใจ ‘สิทธิในวาระสุดท้าย’ ม.12 ผ่านหนังสืออ่านง่าย 3 เล่ม ช่วยวางแผนชีวิตก่อนถึงปลายทาง

ชวนเข้าใจ ‘สิทธิในวาระสุดท้าย’ ม.12 ผ่านหนังสืออ่านง่าย 3 เล่ม ช่วยวางแผนชีวิตก่อนถึงปลายทาง

สช. เปิดตัวหนังสือให้ความรู้สิทธิตายดีตาม “มาตรา 12 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติฯ” ผ่านรูปแบบอ่านง่ายใน 3 เล่ม 3 ตอน หวังขยายการรับรู้ พร้อมชักชวนประชาชนแสดงเจตนาในวาระสุดท้ายของชีวิตไว้ล่วงหน้า ผ่านระบบ e-Living will ช่วยให้ครอบครัว-แพทย์รับรู้เจตจำนง เพื่อสร้างชีวิตปลายทางที่ออกแบบได้

เวทีเปลี่ยนมุมมอง (Policy Talk of Change) หัวข้อ “พลังของการสื่อสารสาธารณะที่มีความหมาย…เพื่อเข้าใจความตาย” ภายใต้กิจกรรมตลาดนัดนโยบาย ที่จัดขึ้นในการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 โดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายยุทธศาสตร์ ระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย. 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ได้บอกเล่าถึงความสำคัญและสร้างความเข้าใจต่อสิทธิตามมาตรา 12 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 พร้อมกับเปิดตัวหนังสือ “มาตรา 12 สิทธิสุดท้ายของชีวิตที่เลือกได้ เพื่อสุขที่ปลายทาง”
สำหรับหนังสือ “มาตรา 12 สิทธิสุดท้ายของชีวิตที่เลือกได้ เพื่อสุขที่ปลายทาง” มีด้วยกันทั้งสิ้น 3 เล่ม 3 ตอน ประกอบด้วย 1. สิทธิที่ออกแบบและวางแผนชีวิตได้ โดย นพ.สุเทพ เพชรมาก และ นางจุฑามาศ โมฬี 2. สิทธิที่เลือกในระยะท้ายคือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดย พญ.อิสรีย์ ศิริวรรณกุลธร 3. ชีวิตตอนปลายที่มีคุณค่าและศักดิ์ศรี โดย นพ.ภิญโญ ศรีวีระชัย ซึ่งทั้งหมดนี้ สช. เป็นผู้สนับสนุนการจัดทำ
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า นับเป็นเวลากว่า 18 ปีที่ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ได้ให้สิทธิไว้ในมาตรา 12 ที่ประชาชนสามารถทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต แต่ยังคงมีความท้าทายที่ประชาชนใช้สิทธินี้อยู่น้อยมาก ซึ่งพบว่ามาจากปัญหาการรับรู้ ทั้งในฝั่งของสังคม ของโรงพยาบาล รวมไปถึงของบุคลากรที่ให้การดูแลผู้ป่วยเอง
นพ.สุเทพ กล่าวว่า ในเรื่องการรับรู้ของสังคม ไม่ใช่เรื่องง่ายนักในการที่จะพูดคุยเรื่องความตาย เพราะมีปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคติความเชื่อ วัฒนธรรม ศาสนา ประเพณี หรือบางคนแม้รับรู้แล้ว ก็อาจไม่รู้วิธีว่าต้องทำอย่างไร ในขณะที่โรงพยาบาล หรือแพทย์ ก็อาจยังติดกับการทำงานในการรักษาโรค ที่มุ่งไปที่อวัยวะ หรือร่างกาย หรือแม้ทางผู้ป่วยจะมีการระบุเจตนาฯ แล้ว หากโรงพยาบาลไม่มีระบบตรวจสอบรับรองที่ชัดเจน ยังไม่มีความแน่ชัด ก็จะต้องให้การรักษาไปอย่างเต็มที่ก่อนเช่นกัน
“มีงานวิจัยที่พบว่า การที่เรายื้อผู้ป่วยระยะสุดท้ายเต็มที่ ใส่เครื่องช่วยหายใจต่างๆ กับการที่ปล่อยให้เขาจากไปอย่างสงบ ความจริงแล้วระยะเวลาการเสียชีวิตไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่ในแง่สุขภาวะหรือคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยกลับมีความแตกต่างกันมาก เพราะการยื้อชีวิตในไอซียู ผู้ป่วยอาจต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ต่างจากการกลับไปอยู่อย่างสงบร่วมกับคนที่บ้าน” นพ.สุเทพ กล่าว
นพ.สุเทพ กล่าวว่า ที่ผ่านมาทาง สช. ก็ได้มีความพยายามในการผลักดันเรื่องนี้เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาหนังสือแสดงเจตนาฯ แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Living will) ให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น สามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับโรงพยาบาล ช่วยให้แพทย์ได้มีสิ่งยืนยันที่ชัดเจน ขณะเดียวกันก็ผลักดันการสื่อสารให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้สื่อโทรทัศน์ ซีรีส์ หนังสือ หรือการใช้บุคคลที่ผู้คนรู้จัก มาช่วยกันสื่อสารสิทธินี้ให้สังคมได้รับรู้มากขึ้น เช่นเดียวกับหนังสือ 3 เล่มที่เปิดตัวในวันนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะมีคุณค่าที่น่าอ่าน ช่วยเพิ่มความเข้าใจในประเด็นเหล่านี้ได้มากขึ้น
นางจุฑามาศ โมฬี ที่ปรึกษา สช. กล่าวว่า มาตรา 12 นับเป็นกฎหมายฉบับเดียวที่มีการบัญญัติสิทธิการแสดงเจตนาในวาระสุดท้ายให้กับประชาชน ซึ่งสามารถมองความสำคัญได้ 3 ระดับ คือในระดับบุคคลหรือผู้ป่วย จะช่วยให้สามารถแสดงเจตนาความต้องการของตนเองได้ เพราะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วทุกคนที่เกิดมาย่อมต้องการที่จะจากไปอย่างมีความสุข ในระดับครอบครัว หากมีคนในครอบครัวได้แสดงเจตนาฯ เอาไว้ เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจบนทางสองแพร่ง มาตรานี้ก็จะช่วยแก้ไขปัญหาทำให้ครอบครัวไม่ต้องรู้สึกผิดได้ ขณะที่ในระดับประเทศ ก็สามารถช่วยลดต้นทุนการรักษาในระบบบริการสุขภาพ จากการที่จะต้องใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีไปกับการยื้อชีวิตอย่างเต็มที่ได้
“การดำเนินงานเรื่องนี้มีความท้าทายของการสร้างการรับรู้ โดยหนังสือทั้ง 3 เล่มนี้ ทาง สช. ก็พยายามผลิตออกมาเป็นสื่อเพื่อให้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ใช่เนื้อหาในเชิงวิชาการ แต่ท่านเลขาธิการฯ ได้ให้แนวคิดการเขียนทั้ง 3 เล่มให้ออกมาในรูปแบบบทความที่ประชาชนทุกระดับอ่านได้ง่าย เข้าใจ ผ่านเรื่องสั้นและเรื่องเล่าจากผู้ที่มีประสบการณ์ ช่วยให้น่าติดตามและนึกภาพออกถึงสถานการณ์จริง โดยในรายละเอียดทั้ง 3 เล่มจะบอกตั้งแต่มิติในเชิงกฎหมายว่าประชาชนมีสิทธิอย่างไร มาตรา 12 กับการุณยฆาตแตกต่างกันอย่างไร เมื่อทำ Living will แล้วมีระบบบริการอะไรรองรับ หรือเมื่อถึงระยะสุดท้ายแล้วจะต้องรับมืออย่างไร ตลอดจนเรื่องเล่าก็ช่วยสะท้อนภาพที่ตรงกับบริบทของสังคมไทย โดย สช. ได้มีการเผยแพร่ทั้งในรูปแบบเอกสารหนังสือ และ e-Book” นางจุฑามาศ กล่าว
ด้าน พญ.อิสรีย์ ศิริวรรณกุลธร แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลนครพิงค์ และนักเขียน นามปากกา Sammon กล่าวว่า ส่วนตัวมีความสนใจในงานมาตรา 12 และการดูแลประคับประคอง (Palliative Care) โดยจุดเริ่มต้นมาจากกระดาษแผ่นเดียว ในช่วงที่เรียนแพทย์ชั้นปีที่ 3 ซึ่งมีโอกาสได้ดูแลผู้ป่วยรายหนึ่งในไอซียู ที่ถูกใส่ท่อช่วยหายใจและมีการให้ยาอย่างเต็มที่เพื่อยื้อชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือด แต่มาวันหนึ่งญาติกลับไปเจอกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ในลิ้นชักหัวเตียงผู้ป่วยที่บ้าน ที่เขียนแสดงเจตนาฯ ไว้อย่างละเอียดมาก ในวันที่ Living will ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย แม้กระทั่งบุคลากรส่วนใหญ่ก็แทบไม่มีใครรู้จักสิทธิดังกล่าว ซึ่งกระดาษแผ่นเดียวนั้นก็ได้กลายเป็นตัวแทนของผู้ป่วยว่าอะไรเป็นสิ่งที่เขาต้องการ และเมื่อลูกหลานได้รับทราบแล้ว ท้ายที่สุดก็สามารถขอให้แพทย์ช่วยทำตามเจตจำนงและบรรลุวัตถุประสงค์ของผู้ป่วย
พญ.อิสรีย์ กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าวตนได้มองเห็นในสองประเด็น ประเด็นแรกคือรู้สึกดีที่คนเราสามารถกำหนดสิ่งนี้ได้ในวาระสุดท้ายของชีวิต โดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาตัดสินใจแทน และรู้สึกมีความสุขแทนผู้ป่วยเมื่อสิ่งเหล่านี้ได้รับการปฏิบัติตาม แต่อีกประเด็นก็คิดว่าน่าเสียดาย เพราะผู้ป่วยถูกใส่ท่อช่วยหายใจไปแล้ว เจตนาฯ เพิ่งถูกรับรู้ทีหลัง ดังนั้นจึงชื่นชม สช. ที่ได้พัฒนาระบบ e-Living will ขึ้นเป็นฐานข้อมูลกลาง ช่วยให้การตัดสินใจของผู้ป่วยจะอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบของโรงพยาบาล ช่วยให้ทำการสืบค้นได้ โดยที่เราอาจไม่ต้องพบกับเหตุการณ์ที่ไปเจอกระดาษในลิ้นชักหัวเตียงภายหลังอีก
พญ.อิสรีย์ กล่าวอีกว่า ส่วนตัวรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญแต่ผู้คนยังรับรู้น้อย และเห็นด้วยว่าเป็นประเด็นที่สื่อสารได้ไม่ง่ายนัก ที่ผ่านมาตนจึงพยายามที่จะออกมาสื่อสารผ่านการเล่าเรื่อง ให้ความรู้ รวมถึงเขียนนวนิยาย ซึ่งภายหลังก็ได้ถูกนำไปสร้างเป็นซีรีส์ที่ชื่อ การุณยฆาต ส่วนหนังสือเล่มนี้ที่ได้ร่วมเขียนด้วยนั้น ก็จะเป็นเรื่องสั้นที่ดัดแปลงจากประสบการณ์จริงของการดูแลผู้ป่วย ช่วยอธิบายให้เห็นภาพของการพาผู้ป่วยกลับไปเสียชีวิตที่บ้าน โดยใช้ระบบการดูแลแบบประคับประคองที่เชื่อมโยงโรงพยาบาล ชุมชน และทรัพยากรของระบบสุขภาพ รวมถึงเรื่องราวความดีงามของการดูแลที่ไม่ใช่แค่กาย แต่ในทุกมิติของสุขภาพ
“ไม่ว่าวิทยาการทางการแพทย์จะก้าวหน้าแค่ไหน ถึงอย่างไรทุกคนก็จะต้องเข้าสู่วาระสุดท้ายของชีวิต เข้าสู่จุดที่เราหมดสติสัมปชัญญะ จะดีกว่าไหมหากเราคิดเผื่อไว้ว่าถึงวันนั้นแล้วเราต้องการอะไร ไม่ต้องรอจนเราเจ็บหนักหรือป่วยจนทำอะไรไม่ได้ ซึ่งการทำ Living will ไม่ได้หมายความว่าเมื่อป่วยแล้วหมอจะไม่รักษา แต่จะถูกใช้ต่อเมื่อหมอประเมินแล้วว่าผู้ป่วยเข้าสู่วาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งบ่งบอกได้จากตัวโรค บางคนอาจยังมีความกลัว แต่อยากให้ลองคิดเหมือนเวลาเราซื้อประกันภัย ก็ไม่ได้เป็นลางว่าบ้านจะเกิดไฟไหม้ หรือจะต้องเกิดอุบัติเหตุ แต่มันคือการคิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ แล้วเตรียมป้องกันไว้ก่อนล่วงหน้า ดีกว่าปล่อยให้เกิดเหตุแล้วทำอะไรไม่ได้” พญ.อิสรีย์ กล่าว

/////////////////////
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม:
กลุ่มงานสื่อสารสังคม สช.
โทร. 02-8329141

About The Author

Related posts

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *