
สช..เปิดวงแก้โจทย์ ‘สุขภาพชายแดน’โฟกัส ‘ค่ายผู้ลี้ภัยเมียนมา’ 1 แสนคน หนุนสร้างอาชีพให้ดูแลตัวเองได้





สช. – สถาบันเอเชียจุฬาฯ จับมือระดมตัวแทนหน่วยงานด้านความมั่นคง ร่วมหารือให้ความเห็นต่อทิศทางการแก้ไขปัญหา “ระบบสุขภาพชายแดน” เพื่อเป็นมุมมองประกอบการพัฒนามติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พุ่งโฟกัสปัญหาสำคัญ “ค่ายผู้ลี้ภัยเมียนมา” ที่มีอยู่รวมเกือบ 1 แสนคนใน 9 แห่งทั่วประเทศ เล็งหากลไกงบประมาณสนับสนุน เสนอจัดตั้ง “กองทุนสุขภาพ” จากเงินค่าเข้าประเทศ ด้านทิศทางระยะยาวมุ่งพัฒนาทุนมนุษย์-เพิ่มศักยภาพเมียนมาพึ่งพาตนเอง
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับ ศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเวทีสนทนาเชิงนโยบาย (Policy Dialogue) ภูมิรัฐศาสตร์กับการบริหารจัดการชายแดนและความมั่นคงทางสุขภาพ เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2568 โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ องค์กรที่เกี่ยวข้องด้านชายแดนและความมั่นคง นักวิชาการ เข้าร่วม เพื่อแสวงหาแนวทางเชิงนโยบายในการบริหารจัดการชายแดนที่มั่นคง ปลอดภัย พร้อมรองรับความท้าทายในอนาคต
ขณะเดียวกัน เวทีครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการหารือเพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเด็น “ระบบสุขภาพเชิงรุกท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์” ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ระเบียบวาระที่อยู่ระหว่างการพัฒนาให้เป็นมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 โดยจะมีการจัดงานขึ้นในระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย. 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามาร่วมกันพิจารณาและให้การรับรองฉันทมติเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายในระดับประเทศต่อไป
นายอนรรฆ พิทักษ์ธานิน ผู้อำนวยการศูนย์แม่โขงศึกษา และที่ปรึกษาคณะทำงานพัฒนาประเด็นผลกระทบของภูมิรัฐศาสตร์ต่อระบบสุขภาพไทย เปิดเผยว่า การบริหารจัดการชายแดนในปัจจุบัน ที่มุ่งไปที่การป้องกันประเทศ การรักษาอธิปไตย หรือการควบคุมการเข้า-ออกเมืองนั้น อาจยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสถานการณ์แนวชายแดนไทย-เมียนมา ได้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของการจัดการที่ซับซ้อน ทั้งการดูแลผู้หนีภัยความไม่สงบในพื้นที่พักพิงชั่วคราว การหลั่งไหลเข้ามาของแรงงานข้ามแดน การค้าชายแดน อาชญากรรมข้ามชาติ ฯลฯ ซึ่งล้วนมีนัยยะต่อความมั่นคงทางสุขภาพ
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นภูมิทัศน์การเมืองโลกอีกหลายส่วน ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางสุขภาพ อาทิ ปัญหาแนวชายแดนเมียนมา กัมพูชา นโยบายของสหรัฐอเมริกา ฯลฯ จำเป็นต้องมีนโยบายสาธารณะเพื่อรองรับความท้าทายต่างๆ ซึ่งการพัฒนามติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ประเด็น ระบบสุขภาพเชิงรุกท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่มี นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ เป็นประธานคณะทำงานฯ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
สำหรับสาระสำคัญในข้อเสนอเชิงนโยบายภายใต้มติสมัชชาสุขภาพฯ ประเด็นนี้ คือแนวทางการขับเคลื่อน “แม่บทการพัฒนาระบบสุขภาพเชิงรุก” ใน 5 ด้าน ได้แก่ 1. การคลังสุขภาพที่ยั่งยืนและพึ่งพาตนเองได้ เน้นการระดมทุนในประเทศเพื่อลดความเปราะบางจากแหล่งทุนภายนอก พร้อมพัฒนาระบบงบประมาณที่เพียงพอและยืดหยุ่น เช่น กองทุนความมั่นคงทางสุขภาพ 2. การเสริมสร้างความพร้อมปฏิบัติการเชิงระบบและความมั่นคงทางสุขภาพ เช่น พัฒนาระบบบัญชาการและปฏิบัติการร่วมในภาวะฉุกเฉิน, ส่งเสริมขีดความสามารถในการผลิต จัดหา เจรจาต่อรองยาและเวชภัณฑ์
- การคาดการณ์อนาคตและข่าวกรองเชิงยุทธศาสตร์ วางรากฐานระบบการคาดการณ์อนาคตของประเทศ เพื่อการตัดสินใจเชิงรุกที่ตั้งอยู่บนฐานข้อมูล 4. ธรรมาภิบาลเชิงบูรณาการเพื่อการขับเคลื่อนนโยบาย นําข้อมูลจากการคาดการณ์อนาคตไปสู่การปฏิบัติจริง โดยจัดตั้งกลไกขับเคลื่อนระดับนโยบายในรูปแบบที่เหมาะสม มีอำนาจบูรณาการข้ามกระทรวง 5. การลงทุนในทุนมนุษย์เพื่อสร้างไทยสู่หมุดหมายด้านสุขภาพโลก ดำเนินยุทธศาสตร์การทูตเชิงสุขภาพและการศึกษา โดยจัดตั้งตำแหน่งผู้ช่วยทูตฝ่ายสาธารณสุข, ยกระดับต่อยอดความสำเร็จจากการประชุมนานาชาติรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ (PMAC) สู่การเป็นเจ้าภาพจัดเวทีหารือเชิงยุทธศาสตร์ระดับสูง, ริเริ่มโครงการทุนการศึกษาอย่างเป็นระบบ เป็นต้น
ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้มีการพูดคุยร่วมกันในหลายประเด็น โดยหนึ่งในประเด็นที่มีการหารืออย่างเข้มข้นคือแนวทางการจัดการกับค่ายผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา ที่มีการเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นระยะเวลากว่า 40 ปี โดยปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 9 แห่ง มีผู้อพยพรวมกันมากกว่า 9 หมื่นคน ว่าจะมีทิศทางการเดินหน้าร่วมกันต่อจากนี้อย่างไรเพื่อนำไปสู่การการบริหารจัดการเชิงรุก ไม่ว่าจะเป็นแนวทางส่งเสริมให้เข้าถึงการทำงาน สร้างรายได้ ไปจนถึงการใช้โอกาสของการเลือกตั้งเมียนมาที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือน ธ.ค. 2568 นี้ เพื่อเจรจากับรัฐบาลเมียนมาในการจัดตั้งระเบียงมนุษยธรรม (Humanitarian Corridor) นำผู้ลี้ภัยกลับไปอยู่ในฝั่งประเทศเมียนมาต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีการหารือถึงข้อเสนอในมิติกลไกการเงินการคลัง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกองทุนเข้ามาช่วยลดภาระของภาครัฐในการบริหารจัดการ เช่น เก็บเงินจากคนต่างชาติที่เข้าประเทศ การขายประกันสุขภาพ รวมไปถึงการบูรณาการงบประมาณจากองค์กรภาคประชาสังคม หรือองค์กรระหว่างประเทศที่ขับเคลื่อนการทำงานด้านนี้อยู่แล้วให้เข้ามารวมเป็นการทำงานเดียวกัน พร้อมกันนั้นยังมีการพูดคุยถึงการดำเนินการให้เกิดพื้นที่นำร่อง (Sand Box) ในค่ายผู้ลี้ภัย เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการเชิงรุก อย่างน้อย 1 แห่ง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมยังได้มีการหารือไปถึงแนวทางให้เกิดการแก้ไขปัญหาระยะยาวที่ยั่งยืน โดยเฉพาะการดำเนินงานในด้านการพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ เนื่องจากสาเหตุหลักที่ทำให้คนหลั่งไหลข้ามพรมแดนเข้ามานั้น เป็นเพราะความแตกต่างที่มีมากเกินไประหว่างสองประเทศ จึงมีความจำเป็นที่ไทยเองจะต้องช่วยยกระดับเพิ่มขีดความสามารถของประเทศเพื่อนบ้านขึ้นมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรมเพิ่มทักษะด้านการแพทย์และสาธารณสุขให้กับผู้ลี้ภัย สามารถกลับไปดูแลภายในพื้นที่ของตนเอง การใช้แนวทางอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าน (อสต.) ไปจนถึงการตั้งให้มีผู้ช่วยทูตฝ่ายสาธารณสุข ในสถานทูตของทุกประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น
นายสุทธิพงษ์ วสุโสภาพล รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ประเด็นนี้ถือเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานานและต้องพูดคุยร่วมกันอีกมาก ซึ่งเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติจะเป็นโอกาสให้ภาคส่วนต่างๆ ได้เข้ามาใช้พื้นที่นี้ในการพบปะแลกเปลี่ยนพูดคุยร่วมกัน เป็นโอกาสของการค้นหาแนวทางหรือข้อเสนอใหม่ๆ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องของความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่กล่าวได้ว่าเป็นความมั่นคงทางสุขภาพของประชาชนในประเทศนั้นๆ
“เมื่อเกิดความแปรปรวนระหว่างประเทศขึ้น เราจะเห็นได้ชัดเจนว่าอย่างน้อยที่สุดก็ไปเกิดผลกระทบทางสุขภาพจิต ยังไม่รวมถึงผลกระทบต่อความมั่นคงทางสุขภาพในมิติอื่นๆ ซึ่งสมัชชาสุขภาพคือเครื่องมือ หรือเป็นพื้นที่กลางให้ทุกส่วนได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนทางเลือก ข้อเสนอ เพื่อพัฒนานโยบายสาธารณะที่เอื้อต่อการมีสุขภาพ ภายใต้การทำงานข้ามพรมแดนที่สานพลังแต่ละส่วน ช่วยหนุนเสริมศักยภาพ องค์ความรู้ ตลอดจนการผลักดันเชิงนโยบาย เพื่อแก้ไขปัญหาที่เราเผชิญอยู่ร่วมกันได้” นายสุทธิพงษ์ กล่าว






/////////////////////////