วันพุธ 22 ตุลาคม 2025

สช.-ภาคี สานพลังเดินหน้า ‘กขป.ชุด (3) กลไกสำคัญแก้ไขปัญหา ‘ระบบสุขภาพ’เชื่อมร้อยการทำงานที่แยกส่วน

สช.-ภาคี สานพลังเดินหน้า ‘กขป.ชุด (3) กลไกสำคัญแก้ไขปัญหา ‘ระบบสุขภาพ’เชื่อมร้อยการทำงานที่แยกส่วน

สช.-ภาคี สานพลังเดินหน้า ‘กขป.ชุด (3) กลไกสำคัญแก้ไขปัญหา ‘ระบบสุขภาพ’เชื่อมร้อยการทำงานที่แยกส่วน

สช. สานพลังหน่วยงานภาคีเครือข่าย เปิดฉากการทำงาน “กขป.ชุดที่ 3” กำหนดทิศทางการเดินหน้าเชื่อมประสานภาคส่วนต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญในระบบสุขภาพ “นพ.อำพล” ย้ำเป็นกลไกช่างเชื่อมทำงานในแนวราบ ถักทอมิติการแพทย์-สาธารณสุข กับสุขภาพเชิงสังคม ด้าน “สสส.” หนุนใช้ข้อมูลเป็นฐานวิเคราะห์การทำงาน ช่วยชุมชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดอัตราเสียชีวิต-พิการ

📌สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) พร้อมด้วยหน่วยงานภาคีเครือข่ายยุทธศาสตร์ ร่วมกันจัดการประชุมเพื่อเสริมศักยภาพกลไกคณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.) ระหว่างวันที่20-21 ต.ค. 2568 เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางการดำเนินงานของ “กขป.” ซึ่งเป็นกลไกที่เกิดขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดตั้งเขตสุขภาพเพื่อประชาชน พ.ศ. 2559 เพื่อทำหน้าที่บูรณาการขับเคลื่อนระบบสุขภาพในเขตพื้นที่ โดยยึดประโยชน์สุขของประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งการประชุมครั้งนี้ยังนับเป็นการประชุมใหญ่ครั้งแรกของ “กขป. ชุดที่ 3” ที่มีวาระการดำรงตำแหน่งระหว่าง พ.ศ. 2568 – 2572

นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยว่า กขป. ถือเป็นจุดแข็งของประเทศในฐานะเป็นพื้นที่กลางในการสานพลังขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะระดับพื้นที่ โดยที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ สช. ได้ร่วมกันสนับสนุนการขับเคลื่อนกลไก กขป. มาโดยตลอด และในปีงบประมาณ 2568 ได้กำหนดประเด็นเป้าหมายรวม 47 ประเด็น ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความหลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของแต่ละพื้นที่ อาทิ สุขภาวะพระสงฆ์ ปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ บุหรี่ไฟฟ้า การบริหารจัดการฝุ่นควันไฟป่า การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนน การจัดขยะและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการ ดูแลกลุ่มเปราะบางสุขภาวะเด็กเยาวชน สังคมสูงวัย ฯลฯ
ในส่วนการดำเนินงานที่ผ่านมาของ กขป. ที่สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างองค์กรภาคีเครือข่าย อาทิ 1. การขับเคลื่อนประเด็นการป้องกันพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ซึ่ง สธ. ได้ร่วมกับสถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สร้างพื้นที่อำเภอต้นแบบแก้ไขปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี (OVCCA) 2. การสร้างภูมิคุ้มกันให้เยาวชน โดย สธ. สปสช. สช. และ สสส. ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการป้องกันบุหรี่ไฟฟ้า และจัดทำธรรมนูญสถานศึกษาปลอดภัย-ปลอดเหล้า-ปลอดปัจจัยเสี่ยง 3. การจัดการฝุ่นควันไฟป่า ปัจจุบัน สปสช. และ อปท. ได้จัดทำประกาศให้กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น (กปท.) สามารถใช้งบประมาณในการจัดทำโครงการป้องกันฝุ่นควันไฟป่าได้

  1. การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาวะทุกช่วงวัย โดย กขป. ในทุกเขต ได้ร่วมขับเคลื่อนสุขภาวะในทุกช่วงวัย มีพื้นที่ต้นแบบเชิงนโยบาย เช่น การเชื่อมประสานกองทุน กปท. บูรณาการแผนสังคมสูงวัย การจัดทำธรรมนูญรองรับสังคมสูงวัย และการสร้างพื้นที่ต้นแบบเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ และการดูแลกลุ่มเปราะบางทางสังคม หนุนเสริมการสร้างสังคมที่มีความมั่นคงทางสุขภาพ 5. การพัฒนาสุขภาวะคนข้ามเพศ LGBTQ+ ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) เขต 13 ซึ่งเป็นตัวอย่างของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานใน กทม. และภาคประชาสังคม ตอบสนองปัญหาที่มีความหลากหลายและทันสมัยในบริบทเมือง
    นพ.สุเทพ กล่าวว่า ความสำเร็จของ กขป. เกิดจากบทบาทของการเป็นกลไกบูรณาการทรัพยากรร่วมกันระหว่างหน่วยงานด้านสุขภาพและด้านสังคม เพื่อกำหนดทิศทางการแก้ไขปัญหาสุขภาพ ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญของ กขป. ชุดที่ 3 ที่จะได้มาร่วมกันคิด ออกแบบ และกำหนดทิศทางการพัฒนา เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาลและหน่วยงานภาคีด้านสุขภาพให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยศักยภาพของ กขป. ที่มีองค์ประกอบจากหลากหลายภาคส่วน จะสามารถแปลงหลักการไปสู่การปฏิบัติจริงได้ ภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมที่ยึดประโยชน์สุขของประชาชนเป็นศูนย์กลาง

ขณะที่ นพ.อำพล จินดาวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) และอดีตเลขาธิการ คสช. ร่วมปาฐกถาในหัวข้อ “โอกาส และความท้าทายของ กขป.กับการสานพลังระดับพื้นที่” ระบุว่า บทบาทของ กขป. อาจต้องเท้าความกลับไป 25 ปีที่แล้ว ที่มีการจัดทำรายงานสุขภาพประชาชาติ พ.ศ. 2543 ของวุฒิสภา อันถือเป็นสมุดปกขาวที่บอกทิศทางของระบบสุขภาพ ซึ่งครอบคลุมและไกลกว่าระบบการแพทย์และสาธารณสุข ก่อนที่ในอีก 7 ปีให้หลังจะนำมาสู่การเกิด พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ที่ให้คำจำกัดความถึงสุขภาพที่ครอบคลุม 4 มิติ คือ กาย จิตใจ สังคม และปัญญา
นพ.อำพล กล่าวว่า ระบบสุขภาพจึงมองภาพได้เหมือนกับเหรียญที่มีสองด้าน โดยด้านหนึ่งคือระบบสุขภาพเชิงการแพทย์และสาธารณสุข ขณะที่อีกด้านหนึ่งคือระบบสุขภาพเชิงสังคม ซึ่ง กขป. จำเป็นจะต้องมองให้เห็นถึงเหรียญทั้งสองด้าน ที่มีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมากแต่อยู่ในลักษณะต่างคนต่างทำ จะทำอย่างไรให้กลไก กขป. เข้าไปเป็นแนวนอนในการถักทอเชื่อมร้อยการทำงานร่วมกัน โดยไม่ใช่เพียงคำว่า ‘บูรณาการ’ ที่แค่เข้ามาจับมือกัน แต่หมายถึง ‘สานพลัง’ คือนอกจากมารวมกันแล้วต้องยกระดับสิ่งที่ทำอยู่ให้เกิดผลได้ทวีคูณ
“บางคนอาจเข้าใจผิดคิดว่า กขป.เป็นองค์กร เลยอยากมีงบประมาณของตัวเอง อยากคิดงานของตัวเอง แต่ กขป.ไม่ได้มีหน้าที่นั้น กขป.คือกลไก มีหน้าที่สานพลังให้หน่วยงานต่างๆ เข้ามาขับเคลื่อนระบบสุขภาพ โดยสอดคล้องกับธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ รวมถึงสถานการณ์ในพื้นที่เขต ร่วมกันสร้างนวัตกรรมการแก้ไขปัญหาหรือสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้น ดังนั้นท่านคือช่างเชื่อม ไม่ใช่ช่างทำ” นพ.อำพล กล่าว

นพ.อำพล กล่าวอีกว่า หัวใจสำคัญ 4 ห้องในการทำงาน กขป. คือ 1. ศรัทธา เชื่อในพลังของอำนาจอ่อน (Soft Power) ในการทำงาน 2. ปัญญา เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใช้ในการทำงาน 3. ภาคี เชื่อมประสานการทำงาน ทั้งภายใน กขป. เองที่มีกลไกหลายภาคส่วน รวมถึงภาคีจากภายนอก 4. มีการเรียนรู้ เพื่อให้การทำงานเติบโต ไม่หยุดอยู่กับที่
ด้าน นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า ความสำคัญของข้อมูลนั้นเปรียบได้เหมือนกับทองคำ ซึ่งที่ผ่านมาเราใช้เวลาไปกับการขุดเหมืองทองกันเยอะ แต่กลับไม่ค่อยได้ใช้เวลาในการหลอมทองเพื่อนำมาทำสร้อยทองเท่าไรนัก นั่นหมายถึงกระบวนการวิเคราะห์และนำข้อมูลไปใช้ ซึ่งเมื่อก่อนข้อมูลต่างๆ อาจถูกวิเคราะห์แล้วส่งมอบให้ผู้บริหารนำไปใช้ในการดำเนินนโยบาย แต่ในยุคปัจจุบันที่ปัญหาของระบบสุขภาพเปลี่ยนจากโรคติดเชื้อ ไปสู่โรคที่เกิดจากพฤติกรรม ซึ่งไม่ได้แก้ด้วยแพทย์หรือพยาบาล แต่แก้ด้วยชุมชน จึงเป็นโจทย์อันท้าทายว่าเราจะนำเอาสร้อยทองเหล่านี้ไปให้ชุมชนได้อย่างไร

นพ.พงศ์เทพ กล่าวว่า ดังนั้นหาก กขป. จะเลือกแก้ไขปัญหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งในเขต ข้อมูลสำคัญที่ควรนำไปใช้คือข้อมูลเกี่ยวกับการเสียชีวิตและความพิการของประชาชน เนื่องจากปัญหาหนึ่งของประเทศไทยคือ แม้เราจะมีดัชนีความมั่นคงทางสุขภาพเป็นอันดับ 5 ของโลก แต่กลับมีอายุคาดเฉลี่ยอยู่ในอันดับ 78 ของโลก โดยสาเหตุสำคัญมาจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ดังนั้นหากเราใช้พลังของข้อมูล เพื่อนำไปออกแบบการขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ โดยจัดเรียงลำดับความสำคัญ ก็จะเป็นส่วนในการแก้ไขปัญหาได้
“หัวใจสำคัญคือพลังของชุมชนในการแก้ไขปัญหา ถ้าเราคืนข้อมูลกลับไปให้เขาได้เห็นว่าในแต่ละเขต แต่ละจังหวัด แต่ละตำบล มีสาเหตุการตายหรือเจ็บป่วยจากอะไรมากที่สุด แล้วให้เขากลับไปจัดการภายในพื้นที่ของตนเอง จะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมป้องกันปัญหา เป็นการใช้พลังของข้อมูล ที่นำไปสู่พลังของชุมชนในการจัดการสุขภาพได้” ผู้จัดการ สสส. กล่าว
อนึ่ง ภายในเวทีครั้งนี้ยังได้มีผู้บริหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาร่วมแสดงพลังความร่วมมือในขับเคลื่อนระบบสุขภาพ เขตสุขภาพเพื่อประชาชน ได้แก่ นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัด สธ. นพ.ดุสิต ขำชัยภูมิ รองเลขาธิการ สปสช. พญ.เลิศลักษณ์ ลีลาเรืองแสง รองปลัด กทม. นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) นายวิชัย นะสุวรรณโน รองผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) นางวรสุดา รัตนสุคนธ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงมหาดไทย และ ดร.ชูสิน วรเดช รองหัวหน้าผู้ตรวจราชการปลัดกระทรวงศึกษาธิการ.

About The Author

Related posts

pgs78
dv188
ptgacor77
jps77
dontoto
kimciltoto
dubaispin168
horse188
shabu39
bs505
acaaca188
paila2000
3mbola
cabe202
bobaslot77
markasbet88
taxi777
bogo77
winslot777
kingmpo77
gokil456
webini33
hype168
laskar288
olxbet200
betseru
harta500
lady188
dubaispin168
bigsloTO777
budaya303
tyara88
vibes168
kingmahazeus
mahazeus
padukaraja
popay88
bancibet
piala2000
pragmaslot
wiki777dot
ty303
ganas567
tokohoki168
pati4d
tokyo787
sultanwin89
rajahoki88
biropay28
prada555
byon777
situs969
evos128
surgawon
agendunia55
qristoto88
1ybet
awan169
apel288
vipslot789
kelastoto
ratugacor777
pgs88
pektoto
habanero88
gacor12