“สวรส.”ผนึกกำลัง “มข.”และภาคี เดินหน้าหยุด ‘พยาธิใบไม้ตับ-มะเร็งท่อน้ำดี’ จัดมหกรรมตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงฯ ลดป่วยตาย เพิ่มอัตรารอดชีวิต
เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของปัญหา ตลอดจนการรู้จักป้องกันตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคมให้ปลอดภัยจากโรคพยาธิใบไม้ตับ และมะเร็งท่อน้ำดี ตลอดจนเพื่อเผยแพร่ความรู้ในการป้องกันโรค อาหารปลอดภัย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค และการส่งเสริมสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ทั้งในกลุ่มเสี่ยงและประชาชนทั่วไป
เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดขอนแก่น รายงานว่า ที่ วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) สถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์มะเร็งท่อน้ำดี โรงพยาบาลศรีนครินทร์ และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายสาธารณสุขจัดพิธีเปิดมหกรรมการตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี “ประเทศไทยปลอดโรคพยาธิใบไม้ตับ ไม่ตายจากมะเร็งท่อน้ำดี” โดยได้รับเกียรติจากนายวิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานในพิธี ท่ามกลางผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ และประชาชนที่เข้าร่วมงานนับพันคน
โรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี นับเป็นปัญหาสาธารณสุขเฉพาะพื้นที่ โดยพบบ่อยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เขตสุขภาพที่ 7, 8, 9, 10) และปัจจุบันอัตราการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับที่พบโดยการตรวจปัสสาวะ ด้วยวิธี ELISA พบอัตราเฉลี่ยของการติดเชื้ออยู่ที่ 29.9% จากประชาชนกลุ่มตัวอย่าง 75,620 ราย ใน 20 จังหวัดภาคอีสาน นอกจากนี้สัดส่วนของผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีระยะแรกที่เข้าสู่การผ่าตัด เฉลี่ยร้อยละ 21 และอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีหลังการผ่าตัด 5 ปี เฉลี่ยร้อยละ 20
ซึ่งที่ผ่านมามีการสร้างความรู้ที่เป็นต้นทุนในเรื่องโรคดังกล่าวอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น ฐานข้อมูลกลุ่มเสี่ยง (Isan Cohort) ระบบคัดกรองมะเร็งท่อน้ำดี ชุดตรวจคัดกรองโรค หลักสูตรภูมิคุ้มกันโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี คู่มือการผลิตปลาร้า ปลาส้มปลอดภัย ฯลฯ หากแต่ยังไม่เห็นผลเท่าที่ควร เนื่องจากยังมีการเสียชีวิตจากโรคดังกล่าวสูงถึง 6,500 รายต่อปี ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ 13,500 ล้านบาทต่อปีทั้งๆ ที่โรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ป้องกันและรักษาได้ ถ้าสามารถคัดกรองกลุ่มเสี่ยงให้เข้าสู่กระบวนการรักษาได้เร็ว
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น และศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์มะเร็งท่อน้ำดี โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (TCELS) และภาคีเครือข่าย ทั้งจากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) Kick off กิจกรรมครั้งสำคัญของประเทศ “มหกรรมการตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี “ประเทศไทยปลอดโรคพยาธิใบไม้ตับ ไม่ตายจากมะเร็งท่อน้ำดี”
เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของปัญหา ตลอดจนการรู้จักป้องกันตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคมให้ปลอดภัยจากโรคพยาธิใบไม้ตับ และมะเร็งท่อน้ำดี ตลอดจนเพื่อเผยแพร่ความรู้ในการป้องกันโรค อาหารปลอดภัย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค และการส่งเสริมสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ทั้งในกลุ่มเสี่ยงและประชาชนทั่วไป
ในการนี้ ศ.ดร.ธิดารัตน์ บุญมาศ รองอธิการบดีฝ่ายวิสาหกิจและสังคมยั่งยืน มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้กล่าวต้อนรับและเน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน ที่จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนสู่สังคมสุขภาพดีอย่างยั่งยืน โดยมหาวิทยาลัยขอนแก่นให้ความสำคัญกับการเสริมสร้าง Health Literacy (ความรอบรู้ด้านสุขภาพ) ควบคู่กับการพัฒนางานวิจัย เพื่อให้ประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือปลอดภัยจากโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี พร้อมคาดหวังว่าการลดอัตราการเกิดโรคจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในระบบสาธารณสุขได้ในอนาคต
ในขณะที่ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข และกรรมการบริหาร สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า การสนับสนุนงบประมาณวิจัยภายใต้งบประมาณของกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) เน้นการสนับสนุนทุนวิจัยแบบมุ่งเป้า โดยหยิบยกประเด็นที่เป็นปัญหาสำคัญของประเทศ และมีแนวโน้มที่จะแก้ไขได้มาเร่งดำเนินการ ซึ่งถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนต้องมาร่วมมือกันในการแก้ปัญหาโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีให้เกิดเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน โดยจุดคานงัดสำคัญของปัญหาดังกล่าว คือพฤติกรรมการบริโภคและการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงให้เข้ารับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ สวรส.
ในฐานะที่เป็นหน่วยงานบริหารและจัดการทุนวิจัย (Program Management Unit: PMU) หลัก ในการขับเคลื่อนเพื่อให้ประเทศไทยปลอดโรคพยาธิใบไม้ตับและลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งท่อน้ำดี ตั้งเป้าหมายการขับเคลื่อนเพื่อนำไปสู่การลดความชุกของการเกิดโรคพยาธิใบไม้ตับ ภายใน 2 ปี ให้ได้น้อยกว่า 10% และภายใน 10 ปี น้อยกว่า 1% และสามารถวินิจฉัยโรคมะเร็งท่อน้ำดีได้ตั้งแต่ระยะต้น ภายใน 2 ปี ได้มากกว่า 50% ภายใน 10 ปี ได้มากกว่า 80% โดยจะลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งท่อน้ำดี ภายใน 2 ปี ได้มากกว่า 30% ภายใน 10 ปี ได้ 50%
สำหรับความร่วมมือกันในครั้งนี้ เราจะช่วยกันผลักดันให้เกิดความปลอดภัย ตั้งแต่เรื่องสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม พฤติกรรมการบริโภคที่ถูกต้อง เพื่อลดการบริโภคปลาดิบที่มีพยาธิใบไม้ตับ การคัดกรองเพื่อให้คนที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งท่อน้ำดี สามารถถูกค้นพบได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตรวจอัลตร้าซาวด์ การตรวจ CT Scan การเพิ่มขีดความสามารถในการผ่าตัดให้ได้มากขึ้น ไม่ต้องรอคิวนาน การพัฒนาระบบฐานข้อมูลติดตามและเฝ้าระวังผู้ป่วยโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี รวมถึงการขยายการผลิตชุดตรวจคัดกรองให้สามารถเข้าถึงและครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ซึ่งเราจะทุ่มเทกันทุกภาคส่วน เพื่อดำเนินการให้เห็นผลและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ภายในเวลา 2 ปีต่อจากนี้
ด้าน รศ.ดร.วัชรินทร์ ลอยลม รักษาการแทนผู้อำนวยการสถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า การดำเนินงานตามแผนวิจัยมุ่งเป้าที่เป็นปัญหาสำคัญในพื้นที่และเป็นปัญหาของประเทศด้วยนั้น นับเป็นมิติใหม่ของการดำเนินงานที่จะมีความเข้มข้นมากขึ้น เพื่อยกระดับให้เกิดการแก้ปัญหาที่สามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจน ซึ่งมหกรรมตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี นับเป็นกิจกรรมตามแผนมุ่งเป้า “ประเทศไทยปลอดโรคพยาธิใบไม้ตับ ไม่ตายจากมะเร็งท่อน้ำดี” โดยภายในงานฯ มีการให้บริการตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงโรคพยาธิใบไม้ตับ โดยใช้ชุดตรวจปัสสาวะสำเร็จรูปชนิดเร็ว OV ATK ให้กับประชากรกลุ่มเสี่ยงอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 2,000 ราย และให้บริการตรวจคัดกรองมะเร็งท่อน้ำดีโดยการตรวจอัลตร้าซาวด์ กับประชากรกลุ่มเสี่ยงอายุ 40 ปีขึ้นไป จำนวน 600 ราย ทั้งนี้กลุ่มเสี่ยงดังกล่าว เป็นกลุ่มที่มีประวัติเสี่ยงข้อใดข้อหนึ่งดังนี้ 1) เคยติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ 2) เคยกินยาถ่ายพยาธิใบไม้ตับ 3) เคยกินปลาน้ำจืดแบบสุกๆ ดิบๆ ซึ่งในงานฯ หากมีการพบการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับหรือตรวจเจอมะเร็งท่อน้ำดี จะมีการแนะนำและส่งผู้ป่วยเข้าสู่การรักษาอย่างเป็นระบบ
นอกจากนี้ภายในงานฯ ยังมีนิทรรศการเผยแพร่ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี อาทิ อาหารปลอดภัย ปลาปลอดพยาธิ หลักสูตรพยาธิใบไม้ในตับและมะเร็งท่อน้ำดีในสถานศึกษา อำเภอต้นแบบ การจัดสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม การนำหมอลำมาเป็นเครื่องมือสร้างความตระหนักรู้เรื่องพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ตลอดจนบูธนิทรรศการของหน่วยงานเครือข่ายที่ร่วมกันขับเคลื่อน เรื่องดังกล่าว
ส่วน นายจารึก ไชยรักษ์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) และผู้อำนวยการสำนักนโยบายสาธารณะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (สช.อ.) กล่าวถึงบทบาทและการสนับสนุนของ สช. ต่อการการแก้ไขปัญหาโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีไว้ว่า สช. ทำหน้าที่ในการประสานเชิงนโยบาย โดยในปี 2557 ศ.นพ.ณรงค์ ขันตีแก้ว ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี ได้ผลักดันเรื่องนี้เป็นมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคีเครือข่ายต่างตระหนักดีว่าปัญหานี้สามารถป้องกันและรักษาได้ หากค้นพบอาการเริ่มต้นได้เร็ว และต้องดำเนินการแบบบูรณาการครอบคลุมทั้งปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม
ต่อมาจึงเสนอเป็นระเบียบวาระในที่ประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2557 หลังจากที่ประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ มีฉันทมติร่วมกันแล้ว ที่ประชุม คสช. มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 ต่อมาที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 มีมติรับทราบและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามมติสมัชชาสุขภาพฯ ดังกล่าวตามหน้าที่และอำนาจต่อไป ทำให้เรื่องพยาธิใบไม้ตับ และมะเร็งท่อน้ำดี เป็นปัญหาที่ทุกคนในสังคมรับรู้และร่วมมือกันแก้ไขปัญหา การขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ของ สช. มีการดำเนินงานโดยคณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน และเครือข่ายสมัชชาสุขภาพจังหวัดในพื้นที่ภาคอีสานมาอย่างต่อเนื่อง
ด้าน ดรุณี บุญนาโพธิ์ อายุ 55 ปี หนึ่งในผู้ร่วมกิจกรรม เปิดเผยว่า ตัดสินใจมาตรวจหลังได้รับข่าวจากโรงพยาบาลในพื้นที่ และรู้สึกดีใจที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นเปิดพื้นที่ให้ได้รับการตรวจคัดกรองฟรีครบทั้งปัสสาวะและอัลตราซาวด์ แม้ไม่พบพยาธิใบไม้ตับหรือมะเร็งท่อน้ำดี แต่พบว่ามีไขมันพอกตับ ทำให้รู้ทันสุขภาพตนเอง และอยากเข้าร่วมกิจกรรมแบบนี้อีกในอนาคต.