
สมัชชาสุขภาพฯ’ เล็งวางระบบ ‘Influencer’ ใน ‘สาธารณภัย’รวมทรัพยากร-ช่วยเหลือเป็นระบบ




สช. พร้อมหน่วยงานภาคีเครือข่าย จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นประเด็น “ระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต” เพื่อพัฒนาเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายในเวที “สมัชชาสุขภาพครั้งที่ 18” มุ่งสร้างแนวทางการจัดการวิกฤต-ภัยพิบัติ-เหตุฉุกเฉินต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นสร้างความเข้มแข็งในระยะเตรียมการ-ก่อนเกิดเหตุ หนุนเสริมความพร้อมของท้องถิ่น-ชุมชน พร้อมสร้างจุดศูนย์กลางเพื่อประสานความช่วยเหลือ-จัดสรรทรัพยากรเป็นระบบ ลดการทับซ้อนจาก Influencer – ภาคเอกชน
📌สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และหน่วยงานภาคีเครือข่าย จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นเพื่อการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วนร่วม ประเด็น “ระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต” เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2567 โดยมีผู้แทนจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคมทั่วประเทศ เข้าร่วมกว่า 700 คน ทั้งในสถานที่ประชุม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น และทางออนไลน์
สำหรับประเด็น “ระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต” เป็นหนึ่งในข้อเสนอเชิงนโยบายที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อบรรจุเป็นระเบียบวาระในงาน สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 โดยมีกรอบทิศทางนโยบายสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบบริหารจัดการที่บูรณาการ ยืดหยุ่น และมีส่วนร่วม ช่วยให้ท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ ชุมชน และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ สามารถบริหารจัดการกับวิกฤตการณ์ที่ซับซ้อนได้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
พญ.ประนอม คำเที่ยง ประธานคณะทำงานพัฒนาประเด็นระบบสุขภาพในภาวะวิกฤต เปิดเผยว่า การพัฒนานโยบายสาธารณะประเด็นนี้ เกิดขึ้นจากความเป็นจริงของสถานการณ์ภาวะวิกฤตที่เราเผชิญกันมา ไม่ว่าภัยพิบัติทางสิ่งแวดล้อม น้ำท่วม โควิด-19 ตลอดจนภัยที่มาจากมนุษย์ ภาวะสงคราม ความขัดแย้งต่างๆ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วมักจะมีภัยอื่นๆ ซ้อนทับด้วย โดยทุกวิกฤตการณ์จะเกี่ยวข้องกับ 2 ระบบ คือระบบการบริหารจัดการ และระบบสนับสนุน ซึ่งต้องทำให้ทั้งสองระบบผสานพลังกัน ทั้งในระยะก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย รวมถึงหลังเกิดภัย ซึ่งเบื้องต้นมีการมองว่าในระดับอำเภอ น่าจะเป็นจุดศูนย์รวมหลักที่สามารถผสมผสานพลังจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อส่งต่อลงไปในระดับตำบล ชุมชน จนไปถึงสู่ระดับบุคคลได้
“เราจะเห็นดาราหรือ Influencer เข้ามาสนับสนุนช่วยเหลือเมื่อเกิดวิกฤต จะทำอย่างไรให้ความช่วยเหลือเหล่านี้ไปเจอกันที่ศูนย์กลาง เพื่อให้เห็นภาพทั้งหมดว่าอะไรเป็นทรัพยากรที่มีอยู่แล้ว อะไรเป็นของบริจาค อะไรคือสิ่งที่ต้องการสนับสนุนเพิ่ม รวมถึงเรื่องการสื่อสารความเสี่ยงเพื่อลด Fake News ลดการตื่นตระหนกของประชาชน ทั้งหมดนี้ทุกฝ่ายต้องผสานพลังร่วมกันทำ” ประธานคณะทำงานพัฒนาประเด็นฯ กล่าว
นพ.สฤษดิ์เดช เจริญไชย ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขฉุกเฉิน สธ. ในฐานะคณะทำงานพัฒนาประเด็นฯ กล่าวว่า สาระสำคัญของมติสมัชชาสุขภาพฯ ประเด็นนี้จะพุ่งเป้าความสำคัญไปในระยะของการจัดการล่วงหน้า การป้องกันก่อนเกิดภัย ทั้งการจัดทำแผนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคส่วนต่างๆ ที่ไม่ใช่หน่วยงานรัฐ เช่น เมื่อเกิดภัยขึ้นมาแล้วส่วนราชการเกี่ยวข้องต้องทำอะไร ประชาชนต้องติดต่อขอความช่วยเหลือจากใคร แผนเป็นอย่างไร อพยพไปทางไหน ตลอดจนการประสานงานของภาคเอกชนที่มาจากนอกพื้นที่ ควรมีศูนย์รวมไหนเป็นจุดเดียว เพื่อที่จะเชื่อมโยงข้อมูลความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง
“เมื่อเกิดภาวะวิกฤตใดขึ้นมา ทรัพยากรของภาครัฐมักไม่เพียงพอ เราจึงเห็นการระดมความช่วยเหลือผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งบทบาทของ Influencer หรือภาคเอกชนที่เข้ามาสนับสนุนภาครัฐในการดูแลจำเป็นและมีประโยชน์ แต่เราจะทำให้มาเชื่อมต่อกับระบบที่มีอยู่อย่างไรเพื่อที่จะจับคู่ Demand กับ Supply คำตอบหนึ่งน่าจะเป็นกลไกในระดับอำเภอ ควรมีจุด Contact Point ของส่วนราชการ เมื่อได้รับข้อมูลความเดือดร้อนจากประชาชนในพื้นที่ จุดนี้ก็จะมีหน้าที่ประสานเชื่อมโยงความช่วยเหลือ เพื่อให้เกิดการระดมทรัพยากรได้ตรงจุด ไม่กระจัดกระจาย” นพ.สฤษดิ์เดช กล่าว
รศ. ดร.ทัศนีย์ ศิลาวรรณ คณะสาธารณสุขศาสตร์ ม.มหิดล ในฐานะคณะทำงานพัฒนาประเด็นฯ กล่าวว่า สำหรับร่างข้อเสนอมตินี้ มีสาระสำคัญของข้อเสนอตั้งแต่ในระดับการเตรียมความพร้อมก่อนเกิดภาวะวิกฤต เช่น พัฒนากลไกบริหารจัดการที่เชื่อมโยงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่เป็นศูนย์ประสานงานกลางระดับอำเภอหรือแขวง ปรับปรุงแผนปฏิบัติการวิกฤตให้ทันต่อสถานการณ์จริง พร้อมร่วมกันฝึกซ้อมแผนฯ เสริมสร้างศักยภาพบุคลากร แกนนำ อาสาสมัคร ฯลฯ รวมถึงการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบงบประมาณให้ยืดหยุ่นและคล่องตัว พัฒนากลไกกองทุนร่วม (Matching Fund) ระหว่างภาครัฐ ท้องถิ่น ชุมชน และเอกชน เพื่อรองรับปฏิบัติการเร่งด่วน เป็นต้น
ขณะที่ข้อเสนอในระยะตอบโต้ภาวะวิกฤต เช่น เปิดใช้งานศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ (EOC) ในพื้นที่พิเศษโดยใช้รูปแบบ Single Command เพื่อให้การสั่งการเป็นเอกภาพ บริหารจัดการข้อมูลและทรัพยากรผ่านแพลตฟอร์มกลาง เพื่อติดตามสถานการณ์การจัดสรรทรัพยากรแบบ real-time ลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มความโปร่งใส รวมถึงสร้างกลไกประสานงานด้านบริการสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน เพื่อสนับสนุนทีมแพทย์ จิตแพทย์เฉพาะทาง และหน่วยเคลื่อนที่ให้บริการในพื้นที่ภายใน 48 ชั่วโมง เป็นต้น
ส่วนข้อเสนอในระยะหลังเกิดภาวะวิกฤต เช่น จัดทำแนวทางการฟื้นฟูครอบคลุมสุขภาพกาย จิตใจ ที่อยู่อาศัย โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ ที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยให้ดีกว่าเดิม เร่งรัดการฟื้นฟูบริการสุขภาพและระบบบริการสาธารณะ ใช้ระบบข้อมูลบูรณาการติดตามกลุ่มเปราะบางและผู้ประสบภัย ตั้งกองทุนฟื้นฟูระดับชุมชนและท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนการซ่อมแซมบ้าน ฟื้นฟูอาชีพ เสริมความเข้มแข็งกลุ่มเปราะบาง ฯลฯ พร้อมถอดบทเรียนและปรับปรุงแผนฟื้นฟูต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาชุดข้อมูลกลางระดับจังหวัดเพื่อการฟื้นฟูระยะยาว ใช้วิเคราะห์ วางแผน เพื่อสนับสนุนการรับมือในอนาคตต่อไป เป็นต้น
ขณะที่ นายสรณัฐ ลือโสภณ ผู้อำนวยการสนับสนุนการมีส่วนร่วม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวว่า คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่า ปภ. เป็นผู้ทำงานในทุกส่วนของการจัดการภัย ทั้งการลดความเสี่ยงก่อนเกิดเหตุ การเผชิญเหตุ จนกระทั่งระยะหลังเหตุคือการฟื้นฟู แต่ความจริงแล้วบทบาทหน้าที่หลักของ ปภ. ไม่ใช่หน่วยปฏิบัติ แต่เป็นหน่วยอำนวยการ โดยหน่วยปฏิบัติที่แท้จริงตามกฎหมายคือ อปท. ซึ่งมีหน้าที่เป็นหน่วยแรกเข้าไปในพื้นที่เมื่อเกิดภัย ดังนั้นหน้าที่ของ ปภ. จึงมุ่งเน้นมาในส่วนแรก นั่นคือส่วนการลดความเสี่ยง การเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและลดผลกระทบก่อนเกิดเหตุ
“มติสมัชชาสุขภาพฯ ประเด็นนี้ ส่งเสริมในขั้นตอนการลดความเสี่ยง การเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและลดผลกระทบ จึงถือว่ามีส่วนสนับสนุนให้กับการทำงานตามบทบาทหน้าที่ของ ปภ. เป็นอย่างมาก เพราะทุกอย่าง ปภ. เราทำงานคนเดียวไม่ได้ แต่ต้องใช้องค์ประกอบของหน่วยงานทุกภาคส่วนเข้ามาทำตามบทบาทหน้าที่ ที่มีกำหนดไว้อยู่แล้วว่าใครทำอะไร แต่การรับรู้บทบาทเหล่านี้ของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน ซึ่งมตินี้จะเข้ามาช่วยเสริมความชัดเจนได้ว่า ใครมีบทบาทหน้าที่ต้องเข้ามาทำอะไรตอนไหน” นายสรณัฐ กล่าว
ด้าน นายสุทธิพงษ์ วสุโสภาพล รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ข้อเสนอเชิงนโยบายเรื่องนี้เป็น 1 ใน 5 ระเบียบวาระที่อยู่ระหว่างการพัฒนา เพื่อนำเข้าสู่เวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ซึ่งจะมีการจัดขึ้นวันที่ 27-28 พ.ย. 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เป็นกระบวนการนโยบายสาธารณะที่ทุกภาคส่วนได้มาร่วมกันกำหนดข้อเสนอ เพื่อให้มีความชัดเจนและเข้มแข็ง พร้อมทั้งมีส่วนร่วมในการนำไปปฏิบัติ โดยหลังจากนี้คณะทำงานฯ จะมีการนำความคิดเห็นจากภาคีเครือข่ายต่างๆ ที่ได้รับ ไปปรับปรุงร่างมติให้มีความสมบูรณ์ ก่อนนำไปสู่การรับรองฉันทมติในเวทีสมัชชาสุขภาพฯ ต่อไป





