วันพฤหัสบดี 23 ตุลาคม 2025

สมัชชาสุขภาพฯ’ เล็งวางระบบ ‘Influencer’ ใน ‘สาธารณภัย’รวมทรัพยากร-ช่วยเหลือเป็นระบบ

สมัชชาสุขภาพฯ’ เล็งวางระบบ ‘Influencer’ ใน ‘สาธารณภัย’รวมทรัพยากร-ช่วยเหลือเป็นระบบ

สมัชชาสุขภาพฯ’ เล็งวางระบบ ‘Influencer’ ใน ‘สาธารณภัย’รวมทรัพยากร-ช่วยเหลือเป็นระบบ

สช. พร้อมหน่วยงานภาคีเครือข่าย จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นประเด็น “ระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต” เพื่อพัฒนาเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายในเวที “สมัชชาสุขภาพครั้งที่ 18” มุ่งสร้างแนวทางการจัดการวิกฤต-ภัยพิบัติ-เหตุฉุกเฉินต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นสร้างความเข้มแข็งในระยะเตรียมการ-ก่อนเกิดเหตุ หนุนเสริมความพร้อมของท้องถิ่น-ชุมชน พร้อมสร้างจุดศูนย์กลางเพื่อประสานความช่วยเหลือ-จัดสรรทรัพยากรเป็นระบบ ลดการทับซ้อนจาก Influencer – ภาคเอกชน

📌สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และหน่วยงานภาคีเครือข่าย จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นเพื่อการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วนร่วม ประเด็น “ระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต” เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2567 โดยมีผู้แทนจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคมทั่วประเทศ เข้าร่วมกว่า 700 คน ทั้งในสถานที่ประชุม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น และทางออนไลน์
สำหรับประเด็น “ระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต” เป็นหนึ่งในข้อเสนอเชิงนโยบายที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อบรรจุเป็นระเบียบวาระในงาน สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 โดยมีกรอบทิศทางนโยบายสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบบริหารจัดการที่บูรณาการ ยืดหยุ่น และมีส่วนร่วม ช่วยให้ท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ ชุมชน และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ สามารถบริหารจัดการกับวิกฤตการณ์ที่ซับซ้อนได้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

พญ.ประนอม คำเที่ยง ประธานคณะทำงานพัฒนาประเด็นระบบสุขภาพในภาวะวิกฤต เปิดเผยว่า การพัฒนานโยบายสาธารณะประเด็นนี้ เกิดขึ้นจากความเป็นจริงของสถานการณ์ภาวะวิกฤตที่เราเผชิญกันมา ไม่ว่าภัยพิบัติทางสิ่งแวดล้อม น้ำท่วม โควิด-19 ตลอดจนภัยที่มาจากมนุษย์ ภาวะสงคราม ความขัดแย้งต่างๆ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วมักจะมีภัยอื่นๆ ซ้อนทับด้วย โดยทุกวิกฤตการณ์จะเกี่ยวข้องกับ 2 ระบบ คือระบบการบริหารจัดการ และระบบสนับสนุน ซึ่งต้องทำให้ทั้งสองระบบผสานพลังกัน ทั้งในระยะก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย รวมถึงหลังเกิดภัย ซึ่งเบื้องต้นมีการมองว่าในระดับอำเภอ น่าจะเป็นจุดศูนย์รวมหลักที่สามารถผสมผสานพลังจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อส่งต่อลงไปในระดับตำบล ชุมชน จนไปถึงสู่ระดับบุคคลได้
“เราจะเห็นดาราหรือ Influencer เข้ามาสนับสนุนช่วยเหลือเมื่อเกิดวิกฤต จะทำอย่างไรให้ความช่วยเหลือเหล่านี้ไปเจอกันที่ศูนย์กลาง เพื่อให้เห็นภาพทั้งหมดว่าอะไรเป็นทรัพยากรที่มีอยู่แล้ว อะไรเป็นของบริจาค อะไรคือสิ่งที่ต้องการสนับสนุนเพิ่ม รวมถึงเรื่องการสื่อสารความเสี่ยงเพื่อลด Fake News ลดการตื่นตระหนกของประชาชน ทั้งหมดนี้ทุกฝ่ายต้องผสานพลังร่วมกันทำ” ประธานคณะทำงานพัฒนาประเด็นฯ กล่าว

นพ.สฤษดิ์เดช เจริญไชย ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขฉุกเฉิน สธ. ในฐานะคณะทำงานพัฒนาประเด็นฯ กล่าวว่า สาระสำคัญของมติสมัชชาสุขภาพฯ ประเด็นนี้จะพุ่งเป้าความสำคัญไปในระยะของการจัดการล่วงหน้า การป้องกันก่อนเกิดภัย ทั้งการจัดทำแผนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคส่วนต่างๆ ที่ไม่ใช่หน่วยงานรัฐ เช่น เมื่อเกิดภัยขึ้นมาแล้วส่วนราชการเกี่ยวข้องต้องทำอะไร ประชาชนต้องติดต่อขอความช่วยเหลือจากใคร แผนเป็นอย่างไร อพยพไปทางไหน ตลอดจนการประสานงานของภาคเอกชนที่มาจากนอกพื้นที่ ควรมีศูนย์รวมไหนเป็นจุดเดียว เพื่อที่จะเชื่อมโยงข้อมูลความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง
“เมื่อเกิดภาวะวิกฤตใดขึ้นมา ทรัพยากรของภาครัฐมักไม่เพียงพอ เราจึงเห็นการระดมความช่วยเหลือผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งบทบาทของ Influencer หรือภาคเอกชนที่เข้ามาสนับสนุนภาครัฐในการดูแลจำเป็นและมีประโยชน์ แต่เราจะทำให้มาเชื่อมต่อกับระบบที่มีอยู่อย่างไรเพื่อที่จะจับคู่ Demand กับ Supply คำตอบหนึ่งน่าจะเป็นกลไกในระดับอำเภอ ควรมีจุด Contact Point ของส่วนราชการ เมื่อได้รับข้อมูลความเดือดร้อนจากประชาชนในพื้นที่ จุดนี้ก็จะมีหน้าที่ประสานเชื่อมโยงความช่วยเหลือ เพื่อให้เกิดการระดมทรัพยากรได้ตรงจุด ไม่กระจัดกระจาย” นพ.สฤษดิ์เดช กล่าว

รศ. ดร.ทัศนีย์ ศิลาวรรณ คณะสาธารณสุขศาสตร์ ม.มหิดล ในฐานะคณะทำงานพัฒนาประเด็นฯ กล่าวว่า สำหรับร่างข้อเสนอมตินี้ มีสาระสำคัญของข้อเสนอตั้งแต่ในระดับการเตรียมความพร้อมก่อนเกิดภาวะวิกฤต เช่น พัฒนากลไกบริหารจัดการที่เชื่อมโยงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่เป็นศูนย์ประสานงานกลางระดับอำเภอหรือแขวง ปรับปรุงแผนปฏิบัติการวิกฤตให้ทันต่อสถานการณ์จริง พร้อมร่วมกันฝึกซ้อมแผนฯ เสริมสร้างศักยภาพบุคลากร แกนนำ อาสาสมัคร ฯลฯ รวมถึงการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบงบประมาณให้ยืดหยุ่นและคล่องตัว พัฒนากลไกกองทุนร่วม (Matching Fund) ระหว่างภาครัฐ ท้องถิ่น ชุมชน และเอกชน เพื่อรองรับปฏิบัติการเร่งด่วน เป็นต้น
ขณะที่ข้อเสนอในระยะตอบโต้ภาวะวิกฤต เช่น เปิดใช้งานศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ (EOC) ในพื้นที่พิเศษโดยใช้รูปแบบ Single Command เพื่อให้การสั่งการเป็นเอกภาพ บริหารจัดการข้อมูลและทรัพยากรผ่านแพลตฟอร์มกลาง เพื่อติดตามสถานการณ์การจัดสรรทรัพยากรแบบ real-time ลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มความโปร่งใส รวมถึงสร้างกลไกประสานงานด้านบริการสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน เพื่อสนับสนุนทีมแพทย์ จิตแพทย์เฉพาะทาง และหน่วยเคลื่อนที่ให้บริการในพื้นที่ภายใน 48 ชั่วโมง เป็นต้น
ส่วนข้อเสนอในระยะหลังเกิดภาวะวิกฤต เช่น จัดทำแนวทางการฟื้นฟูครอบคลุมสุขภาพกาย จิตใจ ที่อยู่อาศัย โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ ที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยให้ดีกว่าเดิม เร่งรัดการฟื้นฟูบริการสุขภาพและระบบบริการสาธารณะ ใช้ระบบข้อมูลบูรณาการติดตามกลุ่มเปราะบางและผู้ประสบภัย ตั้งกองทุนฟื้นฟูระดับชุมชนและท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนการซ่อมแซมบ้าน ฟื้นฟูอาชีพ เสริมความเข้มแข็งกลุ่มเปราะบาง ฯลฯ พร้อมถอดบทเรียนและปรับปรุงแผนฟื้นฟูต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาชุดข้อมูลกลางระดับจังหวัดเพื่อการฟื้นฟูระยะยาว ใช้วิเคราะห์ วางแผน เพื่อสนับสนุนการรับมือในอนาคตต่อไป เป็นต้น

ขณะที่ นายสรณัฐ ลือโสภณ ผู้อำนวยการสนับสนุนการมีส่วนร่วม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวว่า คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่า ปภ. เป็นผู้ทำงานในทุกส่วนของการจัดการภัย ทั้งการลดความเสี่ยงก่อนเกิดเหตุ การเผชิญเหตุ จนกระทั่งระยะหลังเหตุคือการฟื้นฟู แต่ความจริงแล้วบทบาทหน้าที่หลักของ ปภ. ไม่ใช่หน่วยปฏิบัติ แต่เป็นหน่วยอำนวยการ โดยหน่วยปฏิบัติที่แท้จริงตามกฎหมายคือ อปท. ซึ่งมีหน้าที่เป็นหน่วยแรกเข้าไปในพื้นที่เมื่อเกิดภัย ดังนั้นหน้าที่ของ ปภ. จึงมุ่งเน้นมาในส่วนแรก นั่นคือส่วนการลดความเสี่ยง การเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและลดผลกระทบก่อนเกิดเหตุ
“มติสมัชชาสุขภาพฯ ประเด็นนี้ ส่งเสริมในขั้นตอนการลดความเสี่ยง การเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและลดผลกระทบ จึงถือว่ามีส่วนสนับสนุนให้กับการทำงานตามบทบาทหน้าที่ของ ปภ. เป็นอย่างมาก เพราะทุกอย่าง ปภ. เราทำงานคนเดียวไม่ได้ แต่ต้องใช้องค์ประกอบของหน่วยงานทุกภาคส่วนเข้ามาทำตามบทบาทหน้าที่ ที่มีกำหนดไว้อยู่แล้วว่าใครทำอะไร แต่การรับรู้บทบาทเหล่านี้ของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน ซึ่งมตินี้จะเข้ามาช่วยเสริมความชัดเจนได้ว่า ใครมีบทบาทหน้าที่ต้องเข้ามาทำอะไรตอนไหน” นายสรณัฐ กล่าว
ด้าน นายสุทธิพงษ์ วสุโสภาพล รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ข้อเสนอเชิงนโยบายเรื่องนี้เป็น 1 ใน 5 ระเบียบวาระที่อยู่ระหว่างการพัฒนา เพื่อนำเข้าสู่เวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ซึ่งจะมีการจัดขึ้นวันที่ 27-28 พ.ย. 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เป็นกระบวนการนโยบายสาธารณะที่ทุกภาคส่วนได้มาร่วมกันกำหนดข้อเสนอ เพื่อให้มีความชัดเจนและเข้มแข็ง พร้อมทั้งมีส่วนร่วมในการนำไปปฏิบัติ โดยหลังจากนี้คณะทำงานฯ จะมีการนำความคิดเห็นจากภาคีเครือข่ายต่างๆ ที่ได้รับ ไปปรับปรุงร่างมติให้มีความสมบูรณ์ ก่อนนำไปสู่การรับรองฉันทมติในเวทีสมัชชาสุขภาพฯ ต่อไป

About The Author

Related posts

pgs78
dv188
ptgacor77
jps77
dontoto
kimciltoto
dubaispin168
horse188
shabu39
bs505
acaaca188
paila2000
3mbola
cabe202
bobaslot77
markasbet88
taxi777
bogo77
winslot777
kingmpo77
gokil456
webini33
hype168
laskar288
olxbet200
betseru
harta500
lady188
dubaispin168
bigsloTO777
budaya303
tyara88
vibes168
kingmahazeus
mahazeus
padukaraja
popay88
bancibet
piala2000
pragmaslot
wiki777dot
ty303
ganas567
tokohoki168
pati4d
tokyo787
sultanwin89
rajahoki88
biropay28
prada555
byon777
situs969
evos128
surgawon
agendunia55
qristoto88
1ybet
awan169
apel288
vipslot789
kelastoto
ratugacor777
pgs88
pektoto
habanero88
gacor12